วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หนี้ศักดิ์สิทธิ์


พระอาจารย์ "ชยสาโรภิกขุ" เป็นพระภิกษุชาวต่างชาติ ซึ่งมี พระโพธิญาณเถร หรือ หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพระอุปัชฌาย์  ท่านได้ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ดำรงตนอยู่ในวิสัยแห่งสมณะ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระภิกษุที่มีศีลาจริยาวัตรงดงามน่ากราบไหว้ เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งมีเทศนาโวหารที่ลึกซึ้งกินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระฝรั่งที่มีความสามารถสูงในการใช้ภาษาไทยและภาษาถิ่นทางภาคอิสาน จนเป็นที่อัศจรรย์ในความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนที่ได้ยินได้ฟัง


พระธรรมเทศนาที่ท่านได้แสดงไว้ในวาระต่าง ๆ ล้วนแต่มีคติธรรม อุปมาอุปไมยให้เข้าใจได้ง่าย เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระธรรมที่มีคุณค่า โดยเฉพาะเรื่อง หนี้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้นำมาเผยแผ่เป็นธรรมทาน ณ ที่นี้ ได้สร้างความประทับใจให้กับหลายท่านที่ได้อ่าน ซึ่งเน้นให้รู้จักบุญคุณและการตอบแทนบุญคุณของบิดามารดา และผู้มีพระคุณด้วยปัญญาอย่างถูกต้อง


มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า การกระทำคุณงามความดีในจำนวน 100 อย่างนั้น สิ่งแรกสุดที่พึงกระทำก็คือ “ความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ” แม้แต่ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรา รวมถึงผืนแผ่นดิน ประเทศชาติที่เราได้พึ่งพิงอาศัย ก็มีบุญคุณต่อเราเช่นกัน

"หนี้ศักดิ์สิทธิ์" ธรรมบรรยายโดยท่านพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ...


"... เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่ยังไม่ได้บวช อาตมาเชื่อว่า ปัญญาเกิดจากประสบการณ์ จึงเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศอังกฤษ ระเหเร่ร่อนหาประสบการณ์ชีวิตทางยุโรปและเอเชีย ยิ่งลำบากยิ่งชอบ เพราะรู้สึกว่าความลำเค็ญช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นกำไรชีวิต

แต่การเดินทางไปอินเดียผิดหวังนิดหน่อย ไม่ได้ท้าทายอย่างที่คาดหวัง ขากลับจึงตัดสินใจลองเดินทางจากประเทศปากีสถานไปยังอังกฤษโดยไม่ใช้เงิน โบกรถไปเรื่อย ๆ อยากรู้ว่าเป็นไปได้ไหม อยากจะทราบความรู้สึกของผู้ไม่มีอะไรอย่างลึกซึ้ง

ผจญภัยเยอะเหมือนกันและผ่านเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน อย่างเช่น พอถึงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน รู้สึกจะหมดแรงแล้ว ผอมแห้งบักโกรก เสื้อผ้าก็มอมแมม กระดำกระด่าง คงดูน่าเกลียดพอสมควร เห็นหน้าในกระจกห้องน้ำสาธารณะก็ตกใจ ส่วนใจก็เป็นเปรตมากขึ้นทุกวัน กังวลหมกมุ่นแต่ในเรื่องอาหารการกิน วันนี้ เราจะมีอะไรทานไหมหนอ  แต่ละวันท้องจะอิ่มจะว่าง ก็แล้วแต่น้ำใจของเพื่อนมนุษย์ เราจำเป็นต้องพึ่งบารมีเพราะไม่มีอย่างอื่น

พอดีเจอผู้ชายอิหร่านคนหนึ่ง เขาคงสงสารและอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย เขาจึงพาไปกินน้ำชาแล้วให้สตางค์ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ  กลางคืนพักข้างถนนในซอยเงียบ กลัวว่าตำรวจเห็นจะซ้อม รุ่งเช้าเดินไปร้านขายซุปแห่งหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่าซื้อซุปหนึ่งจานแล้วเขาให้ขนมปังฟรี  ในขณะที่กำลังเดินไปโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่ดึงดูดตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา เราได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วก็หยุดชะงัก จ้องมองเราอย่างตะลึงสักพักหนึ่งแล้วเดินมาหาหน้าบูดบึ้ง แล้วสั่งให้ตามเขาไปโดยใช้ภาษามือ เราเป็นนักแสวงหาเลยยอมตามไป เดินไปสักสิบนาทีก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่สี่ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา แต่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด

พอเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริง ๆ  เขาพาเข้าห้องครัวแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ ให้นั่ง นั่งแล้วเขาเอาอาหารมาให้ทานหลาย ๆ อย่าง อาตมารู้สึกเหมือนกับขึ้นสวรรค์ ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกคืออาหารที่ทานในขณะที่หิว และท้องกำลังร้องจ๊อก ๆ  เขาเรียกลูกชายเขามา สั่งอะไรก็ไม่รู้เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สังเกตว่าลูกดูจะอายุไล่เลี่ยกับเรา สักพักใหญ่ลูกชายก็กลับมาด้วยกางเกงและเสื้อเชิ้ตชุดหนึ่ง พอเขาเห็นว่าเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ สั่งให้อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าชุดใหม่ (ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา)  เขาไม่ยิ้ม ไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย มีแต่สั่งอย่างเดียว ขณะที่อาบน้ำอยู่ก็สันนิษฐานว่าแม่คนนี้เห็นอาตมาแล้ววาดภาพนึกถึงลูกชายเขาเองว่า ถ้าสมมุติว่าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้น อาตมาจึงคิดว่าเขาช่วยเราด้วยความรักของแม่ เลยคิดแต่งตั้งเขาเป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปส่งเราตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมืองที่กำลังเดินไปทำงาน อาตมายืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้นถูกหมู่ชนกลืนไป รู้อย่างแม่นยำว่าชาตินี้คงไม่มีวันลืมเขาได้ อาตมาประทับใจและซาบซึ้งมาก น้ำตาทำท่าจะไหลคลอ เขาให้เราทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ตัวสูง ๆ ผอม ๆ เหมือนไม้เสียบผีจากป่าช้าที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรุงรัง แต่เขากลับไม่รังเกียจเลย มิหนำซ้ำยังพาเราไปที่บ้านและดูแลเหมือนเราเป็นลูกของเขาเองโดยไม่หวังอะไรตอบแทนจากเราเลยแม้แต่การขอบคุณ  เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว อาตมาจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ให้ทุกคนได้ทราบว่า แม้ในเมืองใหญ่ ๆ ก็ยังมีคนดีและอาจมีมากกว่าที่เราคิด

ไม่ใช่เพียงแค่คนนี้คนเดียว ตอนสมัยที่อาตมาแสวงหาประสบการณ์ชีวิตนั้น ได้รับความเมตตาอารีความช่วยเหลือเจือจานจากคนหลาย ๆ ชาติ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ขออะไรจากใคร ทำให้ตั้งใจว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ต้องช่วยคนอื่นบ้าง ต้องมีส่วนในการสืบอายุของน้ำใจในหมู่มนุษย์ แม้สังคมทั่วไปจะอัตคัดกันดารคุณงามความดีเพียงไร แต่ขอให้เราพยายามเป็นแหล่งเขียวเล็ก ๆ แก่เพื่อนร่วมโลกก็ยังดี

ต่อมาอาตมาได้กลับไปอยู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง พักปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์สายฮินดูองค์หนึ่ง ท่านน่าเลื่อมใสมาก มีข้อวัตรปฏิบัติคล้ายกับของพุทธ อยู่กับท่านมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองชีวิตของตนเองมาก  ตอนบ่ายชอบเดินขึ้นเขาไปนั่งใต้ต้นไม้เก่าแก่ท่ามกลางสายลม ดูทะเลสาบข้างล่างและทะเลทรายที่เหยียดยาวออกไปถึงขอบฟ้า  ความคิดก็ปลอดโปร่งดี  แล้ววันหนึ่งก็นั่งนึกแปลกใจตัวเองว่า เมื่อไหร่ที่เราระลึกในความมีน้ำใจของผู้ที่เคยเกื้อกูลการเดินทางของเรา ให้อาหารบ้าง ให้ที่พักสักคืนสองคืนบ้าง เราจะรู้สึกทึ่งทุกครั้ง แต่ทำไมพ่อแม่เลี้ยงเรามา 18 ปี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด วันละสามมื้อบ้าง สี่มื้อบ้าง และยังเป็นห่วงว่าจะไม่ถูกปากเราอีก ท่านให้ทั้งเสื้อผ้าและที่นอน ยามป่วยไข้ก็พาไปหาหมอ และดูเหมือนว่าท่านจะเป็นทุกข์มากกว่าเราเสียอีก ทำไมเราไม่เคยซึ้งในเรื่องนี้เลย มันไม่ยุติธรรมและน่าละอาย สำนึกตัวว่าประมาทเหลือเกิน ในขณะนั้นเหมือนเขื่อนพัง ตัวอย่างความดีของพ่อแม่ไหลทะลักเข้ามาในจิตจนตื้นตันใจมาก นี่คือจุดเริ่มต้นของการรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ในชีวิตของอาตมา


เราคิดต่อไปว่า ตอนคุณแม่ท้องก็คงลำบาก ในช่วงแรกคงแพ้ท้อง ต่อมาการเดิน การเหิน การเคลื่อนไหวทุกประเภทคงไม่สะดวกไปหมด ปวดเมื่อย แต่ท่านก็ยอม เพราะเชื่อว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมีความหมาย และความหมายนั้นคือเรา


ตอนเด็กเราต้องอาศัยท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมเรารู้สึกเฉย ๆ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องให้และเป็นสิทธิของเราที่จะรับ ต่อมาเลยสำนึกว่า ที่มีโอกาสปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นที่พึ่งของตน ก็อาศัยที่ว่าคุณพ่อคุณแม่เคยเป็นที่พึ่งอันมั่นคงแก่เราในกาลก่อน ทำให้จิตใจเรามีฐานที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับกิเลสของเราได้

เมื่ออายุ 20 ปี อาตมาเดินทางมาเมืองไทยเพื่อบวชในบวรพระพุทธศาสนา โยมพ่อโยมแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะต้องการให้ลูกดำเนินชีวิตในทางที่พอใจและมีความสุข ได้ชนะความหวังส่วนตัว  ในใจของท่าน ปีที่แล้วนี้เอง ที่โยมแม่สารภาพกับอาตมาว่า วันที่ลูกจากบ้านไปเป็นวันที่แม่เศร้าโศกที่สุดในชีวิต อาตมาประทับใจมากที่ท่านพูดอย่างนั้น แต่ที่ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ การที่โยมแม่อดทน ไม่พูดให้เราทราบความทุกข์นี้ตั้ง 20 ปี เพราะกลัวเราจะไม่สบายใจ


พอบวชแล้ว บางครั้งอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ตอนอยู่กับพ่อแม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้ทำอะไร เดี๋ยวนี้อยากทำแต่ทำไม่ได้ เเพราะอยู่ห่างไกลและเป็นพระ จึงรู้สึกเสียดาย ต้องตั้งใจแผ่เมตตาแก่ท่านทุกวัน

ในภาษาอังกฤษ คำว่า "บุญคุณของพ่อแม่" ไม่มี  ที่เมืองนอก ความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีอยู่เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความรู้สึกว่าสมาชิกครอบครัวมีหน้าที่ต่อกันมีน้อยกว่าที่นี่  ชาวตะวันตกชอบเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบการก้าวก่าย ไม่ค่อยเชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความลึกลับอะไร ไม่เห็นว่าพ่อแม่มีสิทธิอะไรพิเศษที่จะได้กำหนดแนวทางชีวิตของลูก

ในบทสอนเกี่ยวกับสัมมาทิฐิระดับโลกีย์คือพื้นฐานของความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรในชีวิต พระพุทธองค์ทรงตรัสข้อหนึ่งว่า ต้องเชื่อว่าพ่อมีจริงแม่มีจริง อ่านแล้วชวนให้งงนะ เอ เรื่องนี้น่าจะชัดแจ้งต่อทุกคนอยู่แล้ว ใครจะไม่รู้ว่าคนเราจะเกิดเป็นคนได้ก็เพราะมีพ่อมีแม่


ในเรื่องนี้ขอให้เข้าใจว่าเป็นสำนวนในภาษาบาลี อาจแปลขยายความได้ว่า ต้องเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความหมายสำคัญที่ควรยอมรับและเคารพ ความสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องลึกลับและลึกซึ้ง 

พระพุทธองค์ทรงสอนว่าไม่มีบาปกรรมใดหนักกว่าการฆ่ามารดาหรือบิดา ในภาษาบาลีท่านเรียกว่าเป็น อนันตริยกรรม คือ กรรมชนิดที่สำนึกบาปแล้วกลับตัวอย่างไรก็แก้ไม่ได้เลย ฉะนั้น องคุลีมาลฆ่าคน 999 คน แต่ยังบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าสมมุติว่าองคุลีมาลได้ฆ่าพ่อหรือแม่เพียงคนเดียวก็หมดหนทาง เรียกว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์สอนอย่างนั้นเพียงเพื่ออุบายช่วยเสริมความมั่นคงของสถาบันครอบครัวนะ แต่เป็นสัจธรรมความจริงที่ท่านทรงค้นพบแล้วเปิดเผยเพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย  ฉะนั้น มติของพระพุทธศาสนาคือ เรากับท่านทั้งสอง คือคุณพ่อคุณแม่ มีความผูกพันที่ลึกล้ำ คงข้ามภพข้ามชาติ หลายภพหลายชาติแล้ว เป็นสิ่งที่เราควรยอมรับ เคารพ และเอาใจใส่


สรุปแล้วเรามีอะไรที่ยังค้างอยู่กับท่าน ซึ่งในบางกรณีอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีบ้างเหมือนกัน ลูกที่ถูกทอดทิ้งหรือโดนทารุณกรรมโดยการทุบตีหรือล่วงละเมิดทางเพศก็มีและดูจะมีมากขึ้นทุกวัน แต่ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพ่อแม่กับลูกยังมีอยู่ในทุกราย ชาตินี้เป็นแค่ฉากเดียว ฉากก่อนเราไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราควรประณามและพยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกันการเบียดเบียนลูก ลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมาย แต่ไม่ต้องเพ่งโทษเขาด้วยอคติ เพราะข้อมูลเราไม่ครบ ฝ่ายลูกควรตอบแทนบุญคุณที่อาจมองไม่เห็นเท่าที่ทำได้ อย่างน้อยที่สุดด้วยการให้อภัย


พ่อแม่ที่เป็นยักษ์เป็นมารกับลูกยังมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นพรหมเป็นพระกับลูกมากกว่า  พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ในที่หลายแห่ง ที่ชินหูกันมากคือตอนที่ท่านทรงสอนทิศหก ให้กับหนุ่มชื่อ สิงคาละกะ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

บุตรธิดาควรบำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้าว่าโดย
ท่านเลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ
ช่วยทำกิจธุระการงานของท่าน
ดำรงวงศ์สกุล
ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญให้ท่าน

คำสอนในพระสูตรนี้ เป็นโครงสร้างของสังคมพุทธที่เน้นความรับผิดชอบต่อกันหรือหน้าที่ มากกว่าสิทธิของแต่ละคน  ทุกวันนี้ ในเมืองไทย ยังมีลูกที่ปฏิบัติตามหลักนี้อย่างน่าชมจำนวนไม่น้อย  แต่ที่นี้ อาตมาอยากจะอ้างพระพุทธพจน์อีกบทหนึ่งซึ่งมีการปฏิบัติตามน้อยกว่าคือ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าลูกคนไหนเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปนั่งบนบ่าคนละข้าง แล้วแบกไปมาตลอดร้อยปี รับใช้ด้วยอาหารประณีตที่ท่านชอบ อาบน้ำนวดเส้นให้ท่าน แม้จนกระทั่งปล่อยให้ท่านถ่ายปัสสาวะและอุจจาระราดบ่าหรือไม่อย่างนั้น มอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนล้านหรือสิบ ๆ ล้าน ตั้งท่านไว้ในตำแหน่งมีเกียรติยศและอำนาจ ทำถึงขนาดนี้ก็ยังยากที่จะตอบแทนบุญคุณท่านได้หมด

แต่ว่าลูกคนใดสามารถปลูกฝังหรือชักนำให้พ่อแม่ผู้ไม่มีศรัทธาในหลักธรรมหรือมีศรัทธาน้อย ได้มีศรัทธามากขึ้น  พ่อแม่ผู้ไม่มีศีลหรือมีศีลที่ขาดตกบกพร่อง ได้มีศีลมากขึ้น พ่อแม่ผู้ตระหนี่ ให้กลายเป็นผู้ยินดีในทานและการช่วยเหลือเกื้อกูล  พ่อแม่ผู้ไม่มีปัญญาชนะกิเลสและดับความทุกข์ ได้มีปัญญา  ลูกที่ทำอย่างนี้ได้สำเร็จก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ได้ใช้หนี้อันศักดิ์สิทธิ์ได้หมด

พระสูตรนี้ให้ข้อคิดหลายอย่าง อาตมาเข้าใจว่าพระองค์ทรงตรัสบทนี้อย่างอมยิ้ม ไม่เชื่อลองวาดภาพตัวเองป้อนอาหารแก่พ่อแม่ผู้นั่งบนบ่าเราดูเถิด รับน้ำหนักของท่านไม่ถึงร้อยปีหรอก อาจไม่ได้ห้านาทีด้วยซ้ำไป คุณแม่บางคนอาจไม่กล้าขึ้นเลย เพราะกลัวตกพื้นแขนขาหัก ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสอย่างนี้ น่าจะเป็นเพราะท่านทรงต้องการให้เราพิจารณาว่า โอ้โฮ ทำถึงขนาดนั้นยังไม่พอ นับประสาอะไรกับที่พวกเราทำกันทุกวันนี้  ท่านคงอยากให้เห็นว่ามันเหมือนกับเราเป็นหนี้สินจำนวนมหาศาล ดิ้นรนแทบตายก็ได้แต่ดอกเบี้ยไปให้เขา เขาทวงเงิน เราจะอ้างความเหน็ดเหนื่อยกับเจ้าหนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็น เขาสนใจแต่เงินที่ยังเหลืออยู่ เราทำอะไรให้พ่อแม่ก็เหมือนกัน เราอาจคิดว่าเราทำได้มากแล้ว จริง ๆ แล้ว ถ้าไม่ช่วยทางด้านธรรม การปรนนิบัติเป็นแค่การชำระดอกเบี้ยเท่านั้นเอง เพราะหนี้พ่อแม่ไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่เป็นหนี้ศักดิ์สิทธิ์


พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า นอกเหนือจากการปฏิบัติพ่อแม่แบบทิศหกแล้ว ชาวพุทธเราต้องพยายามส่งเสริมให้ท่านทำแต่คุณงามความดี เรียกว่า เป็นกัลยาณมิตรของมารดาบิดา

ตรงนี้เราสามารถเห็นลักษณะของสังคมพุทธชัดขึ้นว่า เป็นสังคมที่ทุกคนพยายามเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน พ่อแม่ควรเป็นกัลยาณมิตรต่อลูก ลูกควรเป็นกัลยาณมิตรต่อพ่อแม่ พี่ควรเป็นกัลยาณมิตรต่อน้อง น้องควรเป็นกัลยาณมิตรต่อพี่ สามีควรเป็นกัลยาณมิตรต่อภรรยา ภรรยาควรเป็นกัลยาณมิตรต่อสามี  ทุกคนควรช่วยกันขัดเกลากิเลส สร้างชีวิตและสังคมแห่งความเมตตา กรุณา และปัญญา


ในพระสูตรข้างต้น พระพุทธองค์ทรงระบุธรรมสี่ประการ ก่อนอื่น ขอทบทวนและขยายความของธรรมเหล่านั้น

ศรัทธา คือความเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จริง เชื่อว่าคำสอนของท่านเป็นจริง เมื่อศึกษาและปฏิบัติตามแล้วมีผลจริงต่อผู้ที่ปฏิบัติจริง เชื่อว่าผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนมีจริง และหมู่อริยชนนั้นน่าเคารพนับถือยิ่งกว่าหมู่ชนอื่นทั้งหลายทั้งปวง เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์เอง เราจะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ ก็อยู่ที่เรา ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูติผีปีศาจ เทวดา พรหม หรือการดลบันดาลของใครที่ไหน หากขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เอง ทางกาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและสำคัญที่สุดในปัจจุบัน  เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองที่จะบรรลุธรรม และเชื่อว่าความเป็นอิสระจากความทุกข์และกิเลสเป็นสิ่งที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จากชีวิต

ศีล คือความงดงาม คือการห้ามใจจากการทำหรือพูดสิ่งที่เบียดเบียนตนหรือคนอื่น  การหลุดพ้นจากบาปกรรมทางกาย และวาจา ศีลจะมั่นคงด้วยการคุ้มครองของความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ศีลคือมาตรฐานชีวิตสำหรับผู้มุ่งการเจริญทางธรรม

จาคะ คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนอกตัว คือ ความยินดีในการให้ทานและการเกื้อหนุนจุนเจือ ผู้มีจาคะเป็นคนใจดี อารีอารอบ ไม่ขี้งก ขี้ตืด ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว เป็นผู้มีน้ำใจ

ปัญญา คือความรู้ที่ดับทุกข์ดับกิเลสได้ มนุษย์อยู่ดี ๆ ก็เป็นทุกข์ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเป็นแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่เข้าใจว่า ความทุกข์เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ทำไมไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าใจตัวเองและไม่พยายามที่จะเข้าใจเท่าที่ควร  ผู้ที่ไม่เข้าใจตัวเองต้องใช้ชีวิตเป็นเหยื่อของอารมณ์อยู่เรื่อยไป อยู่ในห้องมืดกับงูเห่า จะเดินไปเดินมาโดยไม่โดนงูกัดได้หรือ แค่ไม่ชนเฟอร์นิเจอร์ก็เหลือวิสัย

ปัญญาในเบื้องต้นคือความรู้ระดับสัญญา ความจำที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านหลักธรรม อารมณ์ทั้งดีและชั่ว เราปรุงขึ้นด้วยความเห็นและความคิด ผู้ที่เคยฟังหลักธรรมแล้วจดจำเอาไว้ ไตร่ตรองจนเข้าใจความหมายแล้ว จะมีแนวความคิดที่ดี เมื่อจิตแล่นไปตามแนวที่ดีก็ไม่ตกร่อง ไม่กระแทก ไม่เลื่อนไหล เช่นเมื่อมีใครกลั่นแกล้ง ผู้ที่ไม่เคยฟังเทศน์หรืออ่านหนังสือธรรมะมักจะโกรธแค้นหรือกลัดกลุ้ม ส่วนผู้ที่เคยศึกษาธรรมะจะจำได้ว่า พระเคยเล่าว่าแม้พระพุทธองค์เองทรงเคยโดน ทำไมเราจะโดนไม่ได้ เลยทำใจได้มากขึ้น ไม่ต้องคว้าเอาขวดเหล้าหรือยานอนหลับเป็นที่พึ่ง  ปัญญาในระดับนี้เป็นปัญญาที่รู้บาปบุญคุณโทษ ให้มุมมองชีวิตและโลกที่สงบและตรงต่อความเป็นจริง

ปัญญาในระดับสูงขึ้นไป เป็นปัญญาที่ให้ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในจิตของผู้มีศีลบริสุทธิ์และสมาธิหนักแน่น ถึงขั้นนี้ ไม่ใช่ความคิดเสียแล้ว มันเร็วกว่าความคิด เหมือนเครื่องบินรบที่เร็วกว่าเสียง ปัญญาคือการเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอย่างประจักษ์แจ้งจนหมดสนุกในการยึดติดว่าเป็นเราหรือของเรา ปัญญาทะลุปรุโปร่งรู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของตน ล้วนแต่เป็นของธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ ปัญญาค้นพบว่า ชีวิตไม่ใช่ป้อมปราการในที่กันดาร หากเป็นแม่น้ำที่ไหลอย่างเยือกเย็นในอุทยานแห่งโลก เมื่อปัญญาเห็นอย่างนี้ก็จะปล่อยวาง


พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ลูกที่ดีควรเอาใจใส่ปรนนิบัติมารดาบิดา การปรนนิบัตินั้นเริ่มด้วยวัตถุ แต่ไม่ได้จบด้วยวัตถุ การให้วัตถุหรือการอำนวยความสะดวกสบายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แต่ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ความรัก และไม่ควรเป็นสิ่งทดแทนความรักเสียเลย


วิธีการปฏิบัติต่อพ่อแม่ในแต่ละครอบครัวจะไม่เหมือนกัน เพราะย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลูกมีกี่คน ยังเด็กหรือโตแล้ว อยู่ที่บ้านหรือออกเรือนแล้ว อยู่ใกล้หรือไกล เป็นต้น  ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ในวัยชราแล้ว ลูกที่ดีก็ต้องช่วยกันดูแลหรือผู้ที่ไม่สะดวกจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ข้ออ้าง) ก็ไปเยี่ยมบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยที่สุด โทรศัพท์ไปคุย หรือเขียนจดหมายเป็นประจำ เล่าให้ท่านฟังเรื่องราวในชีวิตของลูก เพราะความที่รู้ว่าลูกคิดถึงและเป็นห่วง เป็นยาเย็นที่สามารถสงบจิตสงบใจของพ่อแม่ได้อย่างสนิท มีฤทธิ์มากกว่ายาที่หมอจัดให้ท่านเยอะ  ฉะนั้น ลูกต้องให้ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ท่านป่วย เราเสียค่ายาค่าหมอให้ท่านก็ดีมาก แต่ถ้าเรายากจน ช่วยด้านนั้นไม่ได้ เราต้องให้ในสิ่งที่เรามี เช่น เวลา การนั่งเป็นเพื่อน อ่านหนังสือให้ท่านฟัง หรือการพยาบาลเท่าที่เราทำได้ เช่น การนวด การเช็ดตัว การป้อนข้าว อาจมีค่าต่อท่านมากกว่าเงิน


พระสูตรที่อ้างถึงข้างต้นนั้น ทำให้เข้าใจว่า ตัวกำหนดความสุขและความทุกข์ในชีวิตของเราที่ยิ่งใหญ่ คือความรู้สึกนึกคิดหรือจิตใจของเราเอง  ท่านจึงสอนว่า ลูกที่สามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งอยู่ในคุณธรรม มีจิตใจแจ่มใสเบิกบานได้ ก็ได้บุญมากทีเดียว เพราะเป็นการให้หรือช่วยให้ท่านได้สิ่งล้ำค่า  การให้สิ่งของ มันเสียได้เสื่อมได้ บางครั้งกลายเป็นดาบสองคมก็มี การรับใช้ก็ช่วยท่านได้เฉพาะในชาตินี้ แต่คุณงามความดีไม่มีโทษอย่างนั้นเลย ไม่ลอยตัวตามความเชื่อถือของใคร ไม่มีขึ้นไม่มีลง ไม่มีใครแย่งชิงได้ และยังเป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่ชาติหน้าด้วย  ท่านจึงเรียกคุณธรรมต่าง ๆ ว่าเป็นอริยทรัพย์ คือเป็นทรัพย์อันประเสริฐ ประเสริฐเพราะเป็นสื่อให้ได้สิ่งอันประเสริฐ คือความเป็นอิสระจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง

เราควรจะให้ความสุขความสบายแก่ผู้มีบุญคุณต่อเราให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ควรลืมความจริงว่าสิ่งที่สูงกว่านี้ยังมีอยู่ ต้องเข้าใจว่า การช่วยลดความทรมานในการตุหรัดตุเหร่ในวัฏสงสารของพ่อแม่ ยังสู้การลดเหตุที่พ่อแม่ต้องรับการทรมานนั้นต่อไปไม่ได้


มติของพระพุทธศาสนาในเรื่องการตอบแทนบุญคุณ จึงขึ้นอยู่กับหลักความเชื่อของเราว่า
1.  การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์และการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสุข
2.  การเวียนว่ายตายเกิดมีกิเลสเป็นเชื้อ
3.  มนุษย์ปล่อยวางกิเลสได้และควรปล่อยวาง
4.  การปล่อยวางกิเลสและบำเพ็ญความดี คือการปฏิบัติไปสู่ความสุขที่แท้จริง

ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้ปลูกฝังหรือชักนำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา อย่างที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ ก่อนอื่นขอให้เตรียมตัวรับความผิดหวัง เราอาจจะทำไม่ได้เหมือนกันหรืออาจจะได้ผลน้อย ไม้อ่อนของเรายังดัดยากพอสมควร ทำไมไม้แก่ของท่านต้องดัดง่าย อย่ารำคาญท่านเลย อย่าหงุดหงิด อย่าท้อแท้ ใจจะไม่เป็นบุญ  การที่คนเราเปลี่ยนยากเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น ขอให้ทำโดยไม่ต้องคาดหวังมาก ทำเพราะเป็นหน้าที่ของลูกที่ดี อย่ายอมให้เป็นทุกข์กับการทำความดีเลย

สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี โบราณบอกว่า สิ่งที่ทำดังกว่าคำที่พูด การชักนำที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่การพูดก็ได้ จงให้คุณพ่อคุณแม่เห็นประโยชน์ที่เราได้จากการศึกษาและปฏิบัติธรรม ให้ท่านเห็นความใจดี ความใจเย็น ความเมตตา ความสุขุมรอบคอบ ความไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคของเรา ท่านจึงจะเลื่อมใสและมีกำลังใจทำตาม พูดง่าย ๆ ว่าอยากช่วยคุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยตัวเองพร้อม ๆ กัน


การช่วยในข้อที่สามคือจาคะ คงจะง่ายกว่าเพื่อนเพราะวัฒนธรรมไทยได้เน้นในเรื่องนี้มาตลอด คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่คนยินดีในทานเหมือนเมืองไทย  อย่างไรก็ตาม ลูกกตัญญูต้องคอยชวนท่านทำบุญตามโอกาสและในอัตราที่เหมาะสมและพอดี ควรชวนท่านให้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาและสังคมทั่วไป อย่างแท้จริง มีสติปัญญาในการให้ รู้ความควรและไม่ควร เช่นให้ทราบว่าพระวินัยห้ามพระขออะไรจากโยม ผู้มิใช่ญาติ  นอกจากว่าโยมเคยปวารณาไว้ ฉะนั้น พระเรี่ยไรกำลังทำสิ่งที่ผิดวินัย ไม่ต้องกลัวว่าถ้าไม่ให้จะเป็นบาป ตรงกันข้าม ให้แล้วเป็นบาปมากกว่า เพราะเป็นการส่งเสริมความทุศีลของพระและความเสื่อมเสียของสถาบันสงฆ์

นอกจากนี้ การเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่หลงใหลกับวัตถุ เป็นการเตือนสติให้พ่อแม่ไม่ให้ติดในวัตถุด้วย ซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของคำว่า จาคะ  ในกรณีนี้ เราทำหน้าที่เป็นกระจกให้ท่านได้ดูตัวเอง คุณพ่อบางคนเห็นรถยนต์รุ่นใหม่เอี่ยมก็กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กหนุ่ม คุณแม่บางคนพอเห็นเสื้อผ้าแบบใหม่เอี่ยมก็อุทานออกมาเหมือนสาวรุ่น ทั้งสองมักจับไข้อยากได้โดยฉับพลัน  ในสมัยปัจจุบัน อากัปกิริยาที่โบราณถือว่าเป็นการเสียผู้ใหญ่กลายเป็นเรื่องธรรมดา การรู้จักความพอดีของเราจึงอาจเตือนท่านได้บ้าง


ในข้ออื่นคงแล้วแต่นิสัยของพ่อแม่ ถ้าท่านเคยเข้าวัดและสนใจเรื่องธรรมะ เราคงชวนท่านคุยในเรื่องมีสาระได้ง่ายหน่อย แต่ถ้าท่านไม่เคยและสุขภาพยังดี (คือยังไม่กลัวตาย) ท่านอาจจะไม่ชอบ เพราะผู้ที่ยังหวงแหนกิเลสว่าเป็นของมีค่า เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีรสชาติ จะรู้สึกว่าธรรมะเป็นสิ่งที่คุกคาม และเขาจะพยายามหลบหลีกหรือปัดเป่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องยอมรับด้วยความเคารพในสิทธิของท่าน อย่าเพึ่งตื๊อท่านมาก ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่ใครจะยัดเยียดให้ใครได้ ถึงแม้ว่าผู้อยากให้มีความหวังดีก็ตาม ต้องปล่อยวางไว้ก่อน ถ้าท่านพร้อมเมื่อไหร่ เราก็ยังยินดีเหมือนเดิม

ส่วนพ่อแม่ที่สนใจ ชวนท่านไปวัดก็ดี ให้ท่านได้ทำบุญ ฟังเทศน์ นั่งสมาธิภาวนาในที่สงบบ้าง ท่านยังงมงายในเรื่องวัตถุมงคล ไสยศาสตร์ การดูหมอ หาคนทรง ไหว้พระราหู ฯลฯ พูดได้ก็พูด แต่หากาลหาเวลาอันสมควร และอย่าให้ท่านรู้สึกว่าเรารู้ท่านไม่รู้ เราฉลาดท่านโง่  ชวนให้ท่านออกกำลังกายเป็นประจำ การรำมวยจีนเหมาะดี เพราะเป็นการเจริญภาวนาอยู่ในตัว หาหนังสือธรรมะดี ๆ ให้ท่านอ่านหรือเปิดเทปให้ท่านฟัง ชวนท่านคุยในเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายบ้างโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล  ศรัทธาและปัญญาเกิดจากการกล้าเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ไม่ใช่ว่าไม่ยอมคิดถึงเรื่องพรรค์นี้จะพ้นมันไปได้


ขอให้เข้าใจด้วยว่าการเป็นลูกที่ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่สั่งหรือขอร้อง ไม่ใช่ว่าการฝืนใจท่านต้องบาปเสมอ ทำไม ก็เพราะพ่อแม่ที่สั่งและขอร้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมก็มี ท่านชวนเราทำในเรื่องผิดกฏหมายหรือในอบายมุขต่าง ๆ เช่นกินเหล้าหรือเล่นการพนัน เป็นต้น  เราไม่ทำตามก็ไม่ผิด นอกจากพ่อแม่เราแล้ว เรายังเป็นลูกของพระพุทธเจ้าอยู่ บุญคุณของพระพุทธองค์ยิ่งมากกว่าของพ่อแม่อีก ฉะนั้น ในเมื่อการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ขัดกับหลักความถูกต้อง ผู้มีปัญญาต้องเอาความถูกต้องก่อน การเป็นกัลยาณมิตรกับตัวเองและคุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องเอาใจท่านในทุกเรื่อง  เราต้องมีหลักการที่ชัดเจน ดีงาม และไม่เข้าข้างตัวเอง


มีเวลาว่างตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ทำวัตรสวดมนต์กับท่าน ชวนท่านนั่งสมาธิด้วยกัน ความสงบให้ความสุข ความเข้มแข็งและความผ่องใสที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้ที่เข้าถึง และผู้ใดทำจิตสงบได้แล้ว มักมีอายุยืนด้วย เนื่องจากพลังสมาธิข่มความว้าวุ่นขุ่นมัว ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นตัวทำลายภูมิต้านทานโรค  ถ้าท่านฝึกสมาธิจนชำนาญ ท่านจะมีที่พึ่งภายในอันเลิศในยามเจ็บไข้ได้ป่วย  ส่วนการช่วยท่านขัดเกลากิเลส วิธีการง่าย ๆ อย่างหนึ่งคือการไม่ยอมพูดคุยในเรื่องที่เป็นอกุศล ไม่ยินดีในการนินทาใครลับหลัง ถ้าเราเงียบไป ท่านจะไม่สนุกและคงจะรู้สึกตัวบ้าง

ลูกที่ยังอยู่ที่บ้านต้องเป็นกลางในการปะทะกันระหว่างพ่อกับแม่ที่อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในยามตึงเครียด ทั้งสองฝ่ายมักจะทาบทามเพื่อให้เราเข้าข้างเป็นพันธมิตร ลูกที่ดีต้องไม่ยอมอย่างนั้น คงอยู่เป็นกรรมการดีกว่า พยายามพูดให้ท่านเย็นลง ระวังอย่าทำอะไรหรือพูดอะไรที่ทำให้เหตุการณ์กำเริบ ชวนให้ท่านยอมซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องมีแพ้มีชนะกัน อดทนในการฟังเรื่องทุกข์ใจของท่านทั้งสองโดยไม่เบื่อหน่าย อย่างนี้เรียกว่าการตอบแทนบุญคุณเหมือนกัน เป็นการช่วยให้ท่านมีสติ ไม่ละเมิดในหลักสัมมาวาจา

ถ้าเราเป็นกัลยาณมิตรต่อคุณพ่อคุณแม่นาน ๆ เข้า ความเชื่อถือของท่านในตัวเราจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และโอกาสที่เราจะได้ชักนำท่านในทางที่ดีจะมีมากขึ้น แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ขอให้สังเกตว่า เราเองก็ได้กำไรอยู่เรื่อยเพราะในการปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ เราต้องใช้ความอดทนมาก ผู้ที่ชราแล้วชอบหงุดหงิด จุกจิกหรือหลงลืม เป็นอย่างนั้นแล้วเราต้องรักษาความทรงตัวของจิตไว้ทั้ง ๆ ที่อยากรำคาญ การช่วยท่านกับช่วยตัวเองจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ที่จริงโลกนี้เป็นโลกแห่งบุญคุณ อาหารที่เราได้ทานวันนี้ เราปลูกเองไหม มันมาจากไหนบ้าง เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้เราตัดเองไหม ผ้ามาจากไหน เสื้อที่ทำจากฝ้ายชิ้นหนึ่งต้องมีทั้งผู้ปลูกฝ้าย ผู้เก็บเกี่ยวฝ้าย ผู้ทอฝ้าย ผู้ตัดเสื้อหรือผู้ออกแบบ เครื่องทอและตัด ผู้ผลิต ผู้ขาย ฯลฯ  วันนี้ ถ้าได้ใช้โทรศัพท์ ดูโทรทัศน์หรือนั่งรถยนต์ เราได้อาศัยความฉลาดและความเพียรของเพื่อนมนุษย์สักกี่คนในกี่ประเทศ  การสำนึกในสิ่งที่เราได้ว่ามาจากไหนบ้าง จะทำให้จิตใจสงบลงไปได้ และทำให้เรารู้สึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างชาวโลกที่ตาเนื้อมองไม่เห็น

ไม่ใช่ว่าเราเป็นหนี้แต่มนุษย์อย่างเดียว สัตว์ก็มีบุญคุณต่อเราเหมือนกัน เช่นไส้เดือนไม่กินดิน มนุษย์ก็ทำการเกษตรไม่ได้ ทำการเกษตรไม่ได้ก็ตายทั้งนั้นแหละ ไส้เดือนก็มีบุญคุณต่อเรามาก ไม่ต้องพูดถึงควาย วัวและสัตว์เลี้ยงอย่างอื่น เราเคยคิดขอบใจมันบ้างไหม


จริง ๆ แล้วมนุษย์หายจากโลกเมื่อไร น่ากลัวสัตว์ทุกจำพวกต้องออกมาโห่ร้องกันจนเสียงแหบเมื่อนั้น เพราะมนุษย์เราเนรคุณ ใช้สอยของธรรมชาติตลอดแต่กลับทำลายธรรมชาติจนโลกจวนจะพินาศ เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ด้วยหลงว่าเราเป็นเจ้าโลก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรต่อสัตว์และพืชร่วมโลก ของใครของมัน  แม้ชาวพุทธเราซึ่งน่าจะฉลาดกว่านี้ ก็รับเอาความคิดบ้า ๆ บอ ๆ ของชาวตะวันตกไม่ค่อยรู้สึกตัว เลยยินดีกับการทำลายอนาคตของโลกอย่างหน้าตาเฉย ต่อจากนี้ไป เราและลูกหลานของเราจะต้องรับผลกรรม แล้วเราจะไปโทษใคร เดี๋ยวนี้อาจจะไม่สายเกินแก้ แต่เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ให้รับรู้ในความลึกซึ้งของบุญคุณ ช่วยกันปราบความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จุดเริ่มต้นคือครอบครัวของเราเอง


พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ในโลกนี้ผู้ที่ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้องของเราในชาติก่อนหาได้ยากมาก ฉะนั้น ผู้ที่ซาบซึ้งในบุญคุณของผู้มีอุปการคุณต่อตน ควรจำบทนี้ไว้ด้วย แล้วให้เราปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนในลักษณะเป็นเพื่อนที่ดี และให้เราเป็นเพื่อนที่ดีของโลกที่เราอยู่ด้วย

สุดท้ายนี้ จึงขอให้เราทุก ๆ คน ใช้ชีวิตอย่างกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดีแก่ตัวเอง ทำ พูด และคิดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น เป็นเพื่อนที่ดีแก่ผู้มีอุปการคุณต่อเราทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ ให้ในสิ่งที่ควรให้ รับใช้ในสิ่งที่ควรรับใช้ ที่สำคัญที่สุดคือ ให้ท่านและเราเองเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ตลอดกาลนานเทอญ..."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น