รตนตฺตยเตเชน โหตุ อนิฏฺฐธํสนํ
รตนตฺตยคุเณน โหตุ เต อิฏฺฐสมฺปทา
ด้วยเดชแห่งพระรัตนตรัย ขอสิ่งไม่พึงใจจงสูญสิ้น
ด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัย ขอสิ่งที่พึงใจ จงถึงพร้อมแด่ท่านเทอญ
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร
ประสูติ ณ ย่านปากแพรก ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เวลาประมาณ 10 ทุ่ม มีเศษ
หรือเวลาประมาณ 04:00 น. เศษ ของวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ตามวิธีนับแบบปัจจุบัน
![]() |
(ซ้าย) นายน้อย คชวัตร พระชนก (ขวา) นางกิมน้อย คชวัตร พระชนนี |
พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร รับราชการตำแหน่งสุดท้าย เป็นปลัดอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ก่อนป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอกขึ้น และถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 38 ปี พระชนนีชื่อ นางกิมน้อย คชวัตร
พระภิกษุในวัดบวรนิเวศวิหารที่ถวายการปรนนิบัติดูแลสมเด็จฯ เล่าว่า แม้เมื่อทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรแล้ว ที่บรรทมในตำหนักที่ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ยังคงเป็นเพียงเก้าอี้สปริงตัวเก่า ซึ่งสั้นเกินกว่าที่จะใช้นอนได้ จึงต้องใช้ตั่งต่อทางปลายเพื่อวางพระบาท ถัดจากด้านปลายพระบาทไปก็เป็นโต๊ะเล็ก ๆ อีกตัว ตั้งพัดลมเก่า ๆ ซึ่ง 'เปิดทีก็หมุนแก็ก ๆ ๆ'
สมเด็จฯ นั้น ป้าเฮ้ง พี่สาวของนางกิมน้อย ได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ๆ และอยู่กับป้าเรื่อยมา ป้ารักสมเด็จฯ มาก เลี้ยงสมเด็จฯ ด้วยความทะนุถนอม เอาใจจนใคร ๆ ว่าเลี้ยงตามใจเกินไป จะทำให้เสียเด็กภายหลัง แต่ป้าก็เถียงว่าไม่เสีย
![]() |
พ.ศ. 2464 สมเด็จฯ (เด็กชายเจริญ คชวัตร) เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกในจังหวัดกาญจนบุรี |
สมเด็จฯ เคยพาป้าไปฟังเทศน์ตอนค่ำพรรษาหนึ่ง มีเทศน์ชาดกติดต่อกันทุกคืนภายในพรรษา ติดพระทัย เร่งป้าให้ไปฟังนิทานทุกคืน ถ้าเป็นเทศน์ธรรมะฟังไม่เข้าใจก็เร่งให้กลับ
สมเด็จฯ อยู่กับป้าไม่เคยแยก นอกจากไปแรมคืนเมื่อเป็นลูกเสือบางครั้งเท่านั้น คืนวันสุดท้ายก่อนจะทรงบรรพชาเป็นสามเณร ป้าพูดว่า 'คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกัน' ซึ่งก็เป็นความจริง ได้แยกจากกันตั้งแต่วันนั้นมา จนอวสานแห่งชีวิตของป้า
สมเด็จฯ ทรงมีนิสัยทางพระแสดงออกตั้งแต่ทรงพระเยาว์ คือ ชอบเล่นเป็นพระ ทำคัมภีร์เทศน์เล็ก พัดยศเล็ก เก็บหินมาทำภูเขา มีถ้ำ ทำเจดีย์เล็กบนยอดเขา เล่นทอดกฐินผ้าป่า เล่นทิ้งกระจาด และทำรูปยมบาลเล็กด้วยกระดาษแบบพิธีทิ้งกระจาดที่วัดญวน เมื่อทรงเจ็บป่วยขึ้น ผู้ใหญ่ต้องนำรูปยมบาลไปเผาทิ้งเสีย
สมเด็จฯ ทรงมีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยอยู่เสมอ คราวหนึ่งทรงป่วยหนักถึงกับผู้ใหญ่คิดว่าไม่หาย และบนว่าถ้าหายจะให้บวชแก้บน จึงเป็นเหตุให้สมเด็จฯ ทรงบรรพชาในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2469 สมเด็จฯ อายุย่างเข้า 14 ปี น้าจะออกบวชเป็นพระภิกษุ พระชนนีและป้าจึงชักชวนให้สมเด็จฯ บวชเป็นสามเณรแก้บนเสียให้เสร็จ จึงตกลงใจบวชเป็นสามเณรในปีนั้น ที่วัดเทวสังฆาราม มีหลวงพ่อดี พุทฺธโชติ หรือ 'หลวงพ่อวัดเหนือ' เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
![]() |
พระรูปแสดงการทำอุปัชฌายวัตร เมื่อครั้งเป็นสามเณรเจริญ คชวัตร และต่อหนังสือค่ำ เมื่อ พ.ศ. 2469 (ผู้วาดภาพ - อาจารย์ธีระพันธุ์ ลอไพบูลย์) |
ในพรรษาแรกที่ทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น หลวงพ่อวัดเหนือ ได้ต่อเทศน์กัณฑ์อริยทรัพย์ 7 ประการ แบบต่อหนังสือค่ำให้กัณฑ์หนึ่ง คือเมื่อสมเด็จฯ เข้าไปทำอุปัชฌายวัตรทุกคืน ท่านอ่านนำให้ท่องตามทีละวรรค คืนละตอนจนจำได้ทั้งกัณฑ์ แล้วให้ขึ้นเทศน์ปากเปล่าแก่พุทธบริษัทในคืนวันพระคืนหนึ่ง
![]() |
พระรูปเมื่อครั้งเป็นสามเณร เทศน์ครั้งแรกในอุโบสถวัดเทวสังฆาราม เมื่อ พ.ศ. 2469 (ผู้วาดภาพ - อาจารย์ธีระพันธุ์ ลอไพบูลย์) |
พ.ศ. 2470 หลวงพ่อวัดเหนือนำสมเด็จฯ ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสนหา (อ่านว่า วัด-สะ-เหน่-หา) จังหวัดนครปฐม เพื่อเรียนภาษาบาลี และเรียนแปลธรรมบท เพื่อว่าต่อไปจะได้กลับมาสอนที่วัดเทวสังฆาราม ท่านว่าจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้
![]() |
วัดเสนหา (วัด-สะ-เหน่-หา) จังหวัดนครปฐม |
![]() |
โรงเรียนพระปริยัติธรรมที่หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ สร้างขึ้นใหม่ รอสมเด็จฯ ให้ทรงกลับมาสอน |
พ.ศ. 2472 หลวงพ่อวัดเหนือนำสมเด็จฯ ไปกราบเรียนฝากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ขณะเมื่อดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงพระเมตตารับไว้ และประทานฉายาว่า 'สุวฑฺฒโน' แปลว่า 'ผู้เจริญดี'
พ.ศ. 2472 พระชนมายุ 17 สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. 2473 พระชนมายุ 18 สอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม 3 ประโยค
พ.ศ. 2474 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินหลวงวัดบวรนิเวศวิหาร ขณะนั้น มีการพระราชทานผ้าไตรแก่พระภิกษุสามเณรเปรียญทั้งวัด สมเด็จฯ เป็นสามเณรเปรียญรูปเดียวในศกนั้น ที่ได้เข้ารับพระราชทานผ้าไตรจากพระราชหัตถ์
พ.ศ. 2475 พระชนมายุ 20 สอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค
พ.ศ. 2472 พระชนมายุ 17 สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. 2473 พระชนมายุ 18 สอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม 3 ประโยค
![]() |
สมเด็จฯ เมื่อทรงอุปสมบทพรรษาแรก ณ วัดเทวสังฆาราม |
![]() |
สมเด็จฯ เมื่อทรงเป็นพระเปรียญ |
พ.ศ. 2476 พระชนมายุครบอุปสมบท สมเด็จฯ ทรงกลับมาอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ หรือหลวงพ่อวัดเหนือ เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
![]() |
พระเทพมงคลรังษี (หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อวัดเหนือ) พระอุปัชฌาย์ เมื่อทรงบรรพชาและทรงอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม |
อุปสมบทแล้ว จำพรรษาที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา พอออกพรรษาแล้ว กลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
![]() |
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระอุปัชฌาย์ เมื่อทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร |
แม้มาอุปสมบทอยู่วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ก็ยังเวียนไปมาช่วยหลวงพ่อวัดเหนือสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่อีก 2 ปี
![]() |
สมเด็จฯ ทรงฉายพระรูปกับหลวงพ่อดี พุทฺธโชติ ณ วัดเทวสังฆาราม |
พ.ศ. 2476 พระชนมายุ 21 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค
พ.ศ. 2477 พระชนมายุ 22 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
พ.ศ. 2478 พระชนมายุ 23 สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
พ.ศ. 2481 พระชนมายุ 26 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค
พ.ศ. 2484 พระชนมายุ 29 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
พ.ศ. 2477 พระชนมายุ 22 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
พ.ศ. 2478 พระชนมายุ 23 สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
พ.ศ. 2481 พระชนมายุ 26 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค
พ.ศ. 2484 พระชนมายุ 29 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
![]() |
สมเด็จฯ เมื่อทรงเป็นพระราชาคณะที่ พระโศภนคณาภรณ์ หมายถึง ผู้เป็นอาภรณ์หรือเครื่องประดับของหมู่คณะอันงาม เป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแด่สมเด็จฯ เป็นรูปแรก |
พ.ศ. 2490 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระโศภนคณาภรณ์
พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2498 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเลือกสมเด็จฯ ให้เป็น 'พระอภิบาล' (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2498 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเลือกสมเด็จฯ ให้เป็น 'พระอภิบาล' (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
![]() |
สมเด็จฯ เมื่อทรงเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ หมายถึง ผู้มีธรรมเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ |
![]() |
สมเด็จฯ ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระอุปัชฌาย์ - หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ (นั่งกลาง) และพระกรรมวาจาจารย์ - หลวงพ่อเหรียญ สุวณฺณโชติ (นั่งซ้าย) ณ วัดเทวสังฆาราม เมื่อทรงเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมวราภรณ์ |
พ.ศ. 2499 ในอภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาที่ 5 ธันวาคม ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์
![]() |
สมเด็จฯ เมื่อทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ หมายถึง ผู้งามในศาสนาหรือผู้ยังศาสนาให้งาม |
พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ 6 และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ
![]() |
สมเด็จฯ ทรงเป็นประธานในการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม |
พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นับเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกซึ่งประกอบด้วยพระมหาเถระ 8 รูป
![]() |
รูปถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร หมายถึง ผู้สำรวมในญาณคือความรู้ เป็นราชทินนามที่แสดงถึงความเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ |
พ.ศ. 2515 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ 'สมเด็จพระญาณสังวร' เป็นสมเด็จพระญาณสังวรรูปที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อจากสมเด็จพระญาณสังวร (สุก)
![]() |
พระรูปปั้น สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดให้ปั้นขึ้น ประดิษฐาน ณ วัดราชสิทธาราม |
ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร นับเป็นตำแหน่งพิเศษ เป็นตำแหน่งที่พระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ
หลังจากที่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ. 2363 แล้ว ราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร ก็ไม่ได้โปรดพระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดอีกเลย นับแต่รัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา กระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน
นับแต่ปีที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2365 ในรัชกาลที่ 2 มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อ พ.ศ. 2515 นั้น เป็นเวลานานถึง 150 ปี
นับแต่ปีที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2365 ในรัชกาลที่ 2 มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อ พ.ศ. 2515 นั้น เป็นเวลานานถึง 150 ปี
![]() |
พระราชกรรมวาจาจารย์ซักถามอันตรายิกธรรม |
พ.ศ. 2521 เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในการทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรมวินัยขณะที่พระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ 6-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521
เป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรมวินัยขณะที่พระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ 6-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521
![]() |
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 |
![]() |
พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 |
พ.ศ. 2532 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
สมเด็จฯ ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย แม้เสนาสนะที่อยู่อาศัยก็ไม่โปรดให้ประดับตกแต่ง ทรงเตือนภิกษุสามเณรเสมอว่า 'พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา'
พระภิกษุในวัดบวรนิเวศวิหารที่ถวายการปรนนิบัติดูแลสมเด็จฯ เล่าว่า แม้เมื่อทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรแล้ว ที่บรรทมในตำหนักที่ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ยังคงเป็นเพียงเก้าอี้สปริงตัวเก่า ซึ่งสั้นเกินกว่าที่จะใช้นอนได้ จึงต้องใช้ตั่งต่อทางปลายเพื่อวางพระบาท ถัดจากด้านปลายพระบาทไปก็เป็นโต๊ะเล็ก ๆ อีกตัว ตั้งพัดลมเก่า ๆ ซึ่ง 'เปิดทีก็หมุนแก็ก ๆ ๆ'
![]() |
ภาพจำลอง ห้องบรรทมของสมเด็จฯ |
แม้แต่อาสนะผืนเก่าที่พระชนนีเคยเย็บถวายแต่เมื่อครั้งยังเป็นมหาเปรียญหนุ่ม ๆ สมเด็จฯ ก็ใช้เรื่อยมา จนเมื่อขาดเปื่อยไป ก็ยังนำไปรองไว้ใต้อาสนะผืนใหม่ และเมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว อาสนะผืนเก่าที่พระชนนีเย็บให้ ก็ยังโปรดให้วางไว้ใต้อาสนะที่ประทับ เป็นการแสดงกตัญญุตาสนองคุณเช่นที่เคยทรงถือปฏิบัติมา ได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งเคยมีเด็กจะหยิบไปทิ้งเพราะเห็นเป็นผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ แต่สมเด็จฯ มีรับสั่งว่า 'นั่นของโยมแม่ เอาไว้ที่เดิม'
ส่วนวัตถุสิ่งของที่มีผู้ถวายมาก็มักทรงแจกจ่ายต่อไปตามโอกาส ครั้งหนึ่งมีผู้ปวารณาจะถวายรถยนต์สำหรับทรงใช้สอยประจำพระองค์เพื่อความสะดวกในการที่จะเสด็จไปทรงปฏิบัติภารกิจในที่ต่าง ๆ พระองค์ก็ตอบเขาไปว่า 'ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน' จึงเป็นอันว่าไม่ทรงรับถวาย
สมเด็จฯ ทรงเตือนภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า 'เป็นพระต้องจน' และไม่เพียงแต่ทรงสอนผู้อื่นเท่านั้น แม้พระองค์เองก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่างเช่นกัน
สมเด็จฯ ทรงเตือนภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า 'เป็นพระต้องจน' และไม่เพียงแต่ทรงสอนผู้อื่นเท่านั้น แม้พระองค์เองก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่างเช่นกัน
![]() |
เสด็จออกบิณฑบาต |
![]() |
เสด็จทอดพระเนตรอัคคีภัยบริเวณตรอกบวรรังษี หลังวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอำนวยการให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และทรงพระเมตตาเปิดวัดให้ประชาชนที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย เข้ามาอาศัยภายในวัดเป็นการชั่วคราว |
ครั้งหนึ่ง หลังจากทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ไม่นานนักศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งกราบทูลว่า 'ขณะนี้วัด..(ชื่อวัด).. ที่เมืองกาญจน์ฯ กำลังสร้างสะพานข้ามแม่น้าเกือบจะเสร็จแล้ว ยังขาดเงินอีกราว 7-8 แสนบาท อยากจะกราบทูลใต้ฝ่าพระบาทเสด็จไปโปรดสักครั้ง สะพานจะได้เสร็จเร็ว ๆ ไม่ทราบว่าใต้ฝ่าพระบาทจะพอมีเวลาเสด็จได้หรือไม่ กระหม่อม' สมเด็จฯ ตรัสตอบว่า 'เวลาน่ะพอมี แต่เงินตั้งแสนจะเอาที่ไหน เพราะพระไม่มีอาชีพการงาน ไม่มีรายได้เหมือนชาวบ้าน แล้วแต่เขาจะให้'
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ เสด็จยังวัดถ้ำผาปล่อง ในงานฉลองอายุครบ 6 รอบ ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 |
![]() |
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระญาณสังวรฯ เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา |
สมเด็จฯ ทรงปฏิบัติกรรมฐานตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า 'แม้จะอยู่ในบ้านในเมือง ก็ให้ทำสัญญา คือทำความรู้สึกกำหนดหมายในใจว่าอยู่ในป่า อยู่ในที่ว่าง อยู่ในที่สงบ ก็สามารถทำจิตใจให้ว่างให้สงบได้' นั่นคือ ทรงปฏิบัติพระองค์แบบพระกรรมฐานในเมือง และเมื่อทรงมีโอกาส ก็จะเสด็จจาริกไปประทับตามสำนักวัดป่าต่าง ๆ
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงถวายน้ำสรง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ |
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ เสด็จกราบนมัสการหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น |
![]() |
(แถวหน้า) หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน, หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป หลวงปู่รักษ์ เรวโต, สมเด็จพระญาณสังวรฯ ถ่ายที่พระธาตุหลวง เวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2505 |
![]() |
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เข้าเฝ้าสมเด็จพระญาณสังวรฯ |
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เมื่อคราวมาเยี่ยมสมเด็จฯ ซึ่งประชวรและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาฯ ปี พ.ศ. 2548 ว่า
'เราสนิทกับท่านมานานเท่าไหร่แล้ว อยู่วัดบวรฯ มาด้วยกัน ท่านเคยไปเป็นพระภาวนาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์ แต่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว และตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชฯ แล้วเราก็ไม่ค่อยได้มาเข้าเฝ้าท่าน เพราะรู้สึกว่าท่านทรงมีภาระหนักมากเป็นพิเศษ เราจึงไม่กล้ามารบกวนท่าน วันนี้เมื่อได้มา ท่านก็ทรงไม่อยากให้กลับ ชี้ให้เรานั่งที่เก้าอี้ คือเมื่อเรากราบที่ตักท่านและจะกลับท่านยังทรงชี้ให้นั่งที่เก้าอี้เสียก่อน'
ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ ประชวรหนักมาก ทรงเตรียมใจที่จะละสังขารอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มายังที่ประทับรักษาพระองค์ และทรงพระดำเนินเข้าไปตรัสถึงเตียงที่บรรทมว่า 'พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว' (ทรงจัดหาแพทย์และยาอย่างดีมาถวายแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น)
สมเด็จฯ ทรงพยักหน้ารับคำอาราธนา ภายหลังทรงเล่าว่า เมื่อได้ยินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสเช่นนั้น ก็ทรงระลึกถึงคำสอนเรื่องอิทธิบาท 4 จึงทรงเข้าสมาธิ ดำรงพระจิตอยู่ในวิหารธรรมที่มีชื่อว่าอิทธิบาทตามคำสอนของพระบรมศาสดา ไม่นานพระอาการก็ทุเลา ว่ากันว่าพระอริยเจ้าในอดีตกาลสามารถเจริญอิทธิบาท 4 กำหนดอายุสังขารได้ เพราะเป็นธรรมโอสถที่เมื่อเจริญแล้วสามารถดำรงพระชนม์ให้ยืนยาว
'เราสนิทกับท่านมานานเท่าไหร่แล้ว อยู่วัดบวรฯ มาด้วยกัน ท่านเคยไปเป็นพระภาวนาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์ แต่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว และตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชฯ แล้วเราก็ไม่ค่อยได้มาเข้าเฝ้าท่าน เพราะรู้สึกว่าท่านทรงมีภาระหนักมากเป็นพิเศษ เราจึงไม่กล้ามารบกวนท่าน วันนี้เมื่อได้มา ท่านก็ทรงไม่อยากให้กลับ ชี้ให้เรานั่งที่เก้าอี้ คือเมื่อเรากราบที่ตักท่านและจะกลับท่านยังทรงชี้ให้นั่งที่เก้าอี้เสียก่อน'
ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ ประชวรหนักมาก ทรงเตรียมใจที่จะละสังขารอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มายังที่ประทับรักษาพระองค์ และทรงพระดำเนินเข้าไปตรัสถึงเตียงที่บรรทมว่า 'พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว' (ทรงจัดหาแพทย์และยาอย่างดีมาถวายแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น)
สมเด็จฯ ทรงพยักหน้ารับคำอาราธนา ภายหลังทรงเล่าว่า เมื่อได้ยินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสเช่นนั้น ก็ทรงระลึกถึงคำสอนเรื่องอิทธิบาท 4 จึงทรงเข้าสมาธิ ดำรงพระจิตอยู่ในวิหารธรรมที่มีชื่อว่าอิทธิบาทตามคำสอนของพระบรมศาสดา ไม่นานพระอาการก็ทุเลา ว่ากันว่าพระอริยเจ้าในอดีตกาลสามารถเจริญอิทธิบาท 4 กำหนดอายุสังขารได้ เพราะเป็นธรรมโอสถที่เมื่อเจริญแล้วสามารถดำรงพระชนม์ให้ยืนยาว
![]() |
สมเด็จฯ ทรงถวายสักการะแด่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา พระเถระที่ยืนอยู่ด้านหลังคือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง |
สมเด็จฯ ทรงอ่อนน้อมเคารพต่อพระธรรม ทรงมีพระอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมพระองค์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้จะทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแล้วก็ตาม ทรงแสดงความเคารพต่อพระเถระผู้มีอายุพรรษามากกว่าพระองค์อยู่เสมอ
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ นมัสการหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ในวาระที่เสด็จประทับ ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 |
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นมัสการหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในวาระที่หลวงปู่มาเยือนวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 |
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ และหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย |
เมื่อมีพระอาคันตุกะมาเข้าเฝ้าหรือเยี่ยมเยียนพระองค์ ถ้าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ก็จะทรงถามถึงอายุพรรษาก่อนว่ามีพรรษาเท่าไร หากมากกว่า จะทรงนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ และทรงกราบตามธรรมเนียมทางพระวินัย หรือถ้าเป็นพระที่มีอาวุโสน้อยกว่า จะทรงต้อนรับด้วยจิตเมตตา อ่อนน้อม ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นนี้มาโดยตลอด
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ และหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน |
![]() |
สมเด็จพระญาณสังวรฯ และพระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) |
ส่วนการแสดงความเคารพต่อพระธรรม นอกจากทรงนิพนธ์หนังสือธรรมเผยแผ่แก่ประชาชนแล้ว ก่อนการแสดงเทศนาธรรมจะทรงเตรียมพระองค์อย่างดี จึงทรงเทศน์ได้อย่างน่าฟังด้วยความเข้าพระทัยที่ลึกซึ้ง สามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้อย่างกระจ่างใจ
เมื่อครั้งที่สมเด็จฯ มีพระสุขภาพแข็งแรง พระกรณียกิจประจำของพระองค์ คือการเทศน์ในพระอุโบสถ ทุกวันพระข้างขึ้นและข้างแรม 15 คํ่า คือเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งมีประชาชนไปฟังจนล้นพระอุโบสถ นอกจากนี้ยังทรงบรรยายธรรมในรายการ 'การบริหารทางจิต' ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง อ.ส. พระราชวังดุสิตเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์
พลังแห่งพระสุรเสียงที่บรรจุด้วยพลังแห่งความหมายในธรรมนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะสมเด็จฯ มีพระวิริยะจนเข้าถึงหัวใจแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง เมื่อถ่ายทอดเป็นธรรมบรรยายสู่ประชาชน ด้วยจิตที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา จึงทำให้คนฟังสามารถฟังธรรมได้อย่างรื่นรมย์ ได้ยินได้ฟังครั้งใดก็เกิดมีแรงยึดเหนี่ยวจิตใจจนเกิดความตั้งมั่น นำไปสู่การยกระดับจิตของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้น
เมื่อครั้งที่สมเด็จฯ มีพระสุขภาพแข็งแรง พระกรณียกิจประจำของพระองค์ คือการเทศน์ในพระอุโบสถ ทุกวันพระข้างขึ้นและข้างแรม 15 คํ่า คือเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งมีประชาชนไปฟังจนล้นพระอุโบสถ นอกจากนี้ยังทรงบรรยายธรรมในรายการ 'การบริหารทางจิต' ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง อ.ส. พระราชวังดุสิตเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์
พลังแห่งพระสุรเสียงที่บรรจุด้วยพลังแห่งความหมายในธรรมนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะสมเด็จฯ มีพระวิริยะจนเข้าถึงหัวใจแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง เมื่อถ่ายทอดเป็นธรรมบรรยายสู่ประชาชน ด้วยจิตที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา จึงทำให้คนฟังสามารถฟังธรรมได้อย่างรื่นรมย์ ได้ยินได้ฟังครั้งใดก็เกิดมีแรงยึดเหนี่ยวจิตใจจนเกิดความตั้งมั่น นำไปสู่การยกระดับจิตของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้น
![]() |
สมเด็จฯ ทรงฉายพระรูปกับพระราชสังวรภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) วัดประดู่ฉิมพลี |
สมเด็จฯ ทรงพบปะสนทนาธรรมกับหลวงปู่โต๊ะ ตั้งแต่ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโสภณ และยังทรงอาราธนาให้หลวงปู่ไปสอนกรรมฐานบรรยายธรรมเป็นประจำที่วัดบวรนิเวศวิหาร
![]() |
สมเด็จฯ ทรงร่วมฉันภัตตาหารกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร |
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เคยมาพักวัดบวรนิเวศวิหารบ่อยครั้งในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นเจ้าอาวาส แต่ต่อมาด้วยอายุและสังขารที่ไม่อำนวยต่อการเดินทางไกล จึงไม่มีจังหวะรับนิมนต์จากสมเด็จฯ ให้มาพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร
นอกจากนี้ สมเด็จฯ ยังทรงให้ความเคารพต่อพระคัมภีร์และหนังสือธรรมเป็นอย่างมาก โดยจะทรงเก็บรักษาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาต่างๆ ไว้ ในที่สูงอยู่เสมอ หรือหนังสือธรรมก็จะทรงห้ามวางที่พื้น หากทอดพระเนตรเห็นมีผู้วางหนังสือธรรมะบนพื้นจะตรัสเตือนขึ้นว่า 'นั่นพระธรรม อย่าวางบนพื้น' แล้วทรงให้นำไปวางไว้ในที่สูง เช่น บนโต๊ะ หรือบนพาน
แม้กระทั่งในเวลาสอนสมาธิกรรมฐาน พระองค์ก็มิได้ทรงวาง พระองค์ว่าเป็นผู้รู้ หรือแสดงภูมิว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเหนือกว่าใคร แต่มักตรัสสั้นๆ เพียงว่า 'แนะนำในฐานะผู้ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วยกัน' นับว่าทรงยึดถือคุณธรรมในข้อความอ่อนน้อมอย่างเห็นได้เด่นชัด อีกทั้งยังทรงเป็นพระเถระผู้สงบเสงี่ยมที่ตั้งมั่นอยู่ในความถ่อมพระองค์มาโดยตลอด
สมเด็จฯ ทรงเป็นพระมหาเถระไทยรูปแรกที่ได้ดำเนินงานพระธรรมทูตในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ในระยะเริ่มต้นของการฝึกอบรมพระธรรมทูตนั้น สมเด็จฯ ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดกวดขัน ท่านทำหลักสูตรและสอนด้วยตนเอง มีการอบรมธรรมะเป็นภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้ สมเด็จฯ ยังทรงให้ความเคารพต่อพระคัมภีร์และหนังสือธรรมเป็นอย่างมาก โดยจะทรงเก็บรักษาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาต่างๆ ไว้ ในที่สูงอยู่เสมอ หรือหนังสือธรรมก็จะทรงห้ามวางที่พื้น หากทอดพระเนตรเห็นมีผู้วางหนังสือธรรมะบนพื้นจะตรัสเตือนขึ้นว่า 'นั่นพระธรรม อย่าวางบนพื้น' แล้วทรงให้นำไปวางไว้ในที่สูง เช่น บนโต๊ะ หรือบนพาน
บางคราวมีผู้พูดถึงสมเด็จฯ ในทำนองว่า ทรงเป็นพระอาจารย์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบก็ทรงแนะว่า ไม่สมควรที่จะพูดเอ่ยอ้างในลักษณะเช่นนั้น เนื่องเพราะว่า 'ใครๆ ก็ไม่ควรที่จะอวดอ้างตนว่าเป็นครูอาจารย์ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทุกคนมีหน้าที่ต้องถวายงานสนองพระราชประสงค์เท่านั้น'
แม้กระทั่งในเวลาสอนสมาธิกรรมฐาน พระองค์ก็มิได้ทรงวาง พระองค์ว่าเป็นผู้รู้ หรือแสดงภูมิว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเหนือกว่าใคร แต่มักตรัสสั้นๆ เพียงว่า 'แนะนำในฐานะผู้ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วยกัน' นับว่าทรงยึดถือคุณธรรมในข้อความอ่อนน้อมอย่างเห็นได้เด่นชัด อีกทั้งยังทรงเป็นพระเถระผู้สงบเสงี่ยมที่ตั้งมั่นอยู่ในความถ่อมพระองค์มาโดยตลอด
![]() |
เปิดสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศรุ่นแรก พ.ศ. 2509 |
มีบางครั้งไปอบรมพระธรรมทูตที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี สมเด็จฯ เดินเท้าจากสถานีรถไฟไชยาไปถึงสวนโมกข์
ท่านและท่านพุทธทาสภิกขุใช้วิธีการฝึกฝนบรรดาพระภิกษุตามธรรมเนียมดั้งเดิมแบบยุคพุทธกาล กระทั่งว่าเมื่อบิณฑบาตกลับมาแล้วให้พระสงฆ์ฉันภัตตาหารอยู่ตามโคนไม้ เมื่อถึงเวลาอนุโมทนา ท่านก็จะไม่ให้สวดมนต์เช่นที่เคยทำกันมา แต่จะใช้วิธีเรียกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นมาแล้วให้เทศน์แทน โดยกำหนดว่าเมื่อเรียกรูปไหนก็ต้องเทศน์ได้ทุกรูป เพื่อฝึกฝนความพร้อมในการเป็นพระธรรมทูต
สมเด็จฯ ทรงเจริญศาสนไมตรีกับองค์ทะไลลามะ กระทั่งเป็นที่ทรงคุ้นเคยและได้วิสาสะกันหลายครั้ง จากการที่องค์ทะไลลามะ ประมุขแห่งศาสนจักรทิเบต ได้เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยหลายครั้ง และทุกครั้ง จะต้องเสด็จเยือนวัดบวรนิเวศวิหาร และทรงพบปะสนทนากับสมเด็จฯ ด้วย จึงทรงคุ้นเคยกับสมเด็จฯ เป็นอย่างดี
คำแรกที่องค์ทะไลลามะตรัสทักทายสมเด็จฯ เมื่อทรงพบกันในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ก็คือ 'พี่ชายคนโตของข้าพเจ้า' อันแสดงถึงความเคารพนับถือว่าทรงมีต่อกันเพียงไร
ท่านและท่านพุทธทาสภิกขุใช้วิธีการฝึกฝนบรรดาพระภิกษุตามธรรมเนียมดั้งเดิมแบบยุคพุทธกาล กระทั่งว่าเมื่อบิณฑบาตกลับมาแล้วให้พระสงฆ์ฉันภัตตาหารอยู่ตามโคนไม้ เมื่อถึงเวลาอนุโมทนา ท่านก็จะไม่ให้สวดมนต์เช่นที่เคยทำกันมา แต่จะใช้วิธีเรียกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นมาแล้วให้เทศน์แทน โดยกำหนดว่าเมื่อเรียกรูปไหนก็ต้องเทศน์ได้ทุกรูป เพื่อฝึกฝนความพร้อมในการเป็นพระธรรมทูต
คำแรกที่องค์ทะไลลามะตรัสทักทายสมเด็จฯ เมื่อทรงพบกันในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ก็คือ 'พี่ชายคนโตของข้าพเจ้า' อันแสดงถึงความเคารพนับถือว่าทรงมีต่อกันเพียงไร
![]() |
สมเด็จฯ ทรงพบปะสนทนากับนายเจียงเจ๋อหมิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน |
พ.ศ. 2536 รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กราบทูลอาราธนาสมเด็จฯ เสด็จเยือนอย่างเป็นทางการ นับเป็นประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์แรกที่รัฐบาลจีนกราบทูลอาราธนาให้เสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการ
ในการเสด็จเยือนจีนครั้งนั้น ทางการจีนจัดการรับรองสมเด็จฯ ในระดับเดียวกับประมุขของประเทศ เช่นจัดที่ประทับถวาย ณ เรือนรับรองรัฐบาลเตี้ยวอวี่ไถ กรุงปักกิ่ง อันตั้งอยู่ในพระราชอุทยานเดิมสมัยที่จีนยังมีพระจักรพรรดิ เรือนรับรองแห่งนี้ตามปกติแล้วจะใช้เป็นที่พำนักของประมุขประเทศต่าง ๆ ผู้นำรัฐบาล หรือแขกผู้มีเกียรติระดับสูงที่เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน
พระภิกษุผู้ตามเสด็จครั้งนั้นยังจำได้ดีว่า แม้ห้องบรรทมที่ทางการจีนจัดเตรียมไว้รับรองนั้นหรูหราราวกับห้องบรรทมของฮ่องเต้ ทว่าสมเด็จฯ ก็ทรงเลือกที่จะปูผ้าอาบนํ้าฝนบนพื้นพรมแล้วบรรทมตามวิสัยของสมณะ ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทรงมีสมณสัญญาและทรงระลึกถึงสมณสารูปอยู่เสมอ
สมเด็จฯ ทรงเป็นที่เคารพสักการะตลอดไปถึงพุทธศาสนิกชนในนานาประเทศ ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จึงได้ทูลถวายตำแหน่ง 'อภิธชมหารัฐคุรุ' อันเป็นสมณศักดิ์สูงสุดแห่งคณะสงฆ์เมียนมา
และที่ประชุมผู้นำสูงสุดแห่งพุทธศาสนาโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ทูลถวายตำแหน่ง 'ผู้นำสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาโลก'
![]() |
พระอานันทไมตรีมหาเถระ แห่งศรีลังกา เข้าเฝ้าในโอกาสมาเยือนประเทศไทย |
![]() |
พระสงฆ์จากเขมร ศรีลังกา เข้าเฝ้าถวายสักการะ |
![]() |
คณะสงฆ์จากเกาหลี เข้าเฝ้าถวายสักการะ |
![]() |
เอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย เข้าเฝ้าถวายสักการะ |
![]() |
รับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเบลเยี่ยม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร |
ความหมายของตราฉลองพระชันษา 100 ปี
อักษรพระนาม ญสส ย่อมาจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
อักษร ญ สีฟ้า (ผงคราม) หมายถึงวันประสูติ คือวันศุกร์
อักษร ส สีขาว หมายความว่า ทรงบริสุทธิ์วิเศษ เป็นศรีศุภมงคลในพระบวรพุทธศาสนา
อักษร ส สีเหลือง หมายความว่า ทรงเป็นสกลมหาสังฆปริณายก องค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์
อักษรพระนาม ญสส อยู่ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น อันเป็นเครื่องยศสมณศักดิ์สำหรับสมเด็จพระสังฆราช
รูปอักษรพระนามและฉัตรอยู่ภายในมณฑลประภา คือรัศมีพระเจ้า
หมายความว่าทรงเป็นผู้ปราศจากมลทิน อันสืบวงศ์ของพระชินสีห์บรมศาสดา
มีรูปช้างไอยราวัตชูครอบรัศมีมณฑลอยู่ หมายถึงทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และหมายถึงทรงอุบัติในสกุล คชวัตร
ใต้รูปช้างไอยราวัต มีเลขมหามงคล 100 หมายถึงทรงเจริญพระชันษา
ยืนยาวนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์อื่นใดในอดีตที่ผ่านมา
ด้านล่างสุด ผูกเป็นแพรแถบสีหงชาด (ชมพู) ขอบขลิบทอง ปลายทั้งสองเป็นช่อกระหนก
มีข้อความอักษรสีทองว่า การฉลองพระชันษา 3 ตุลาคม 2556
ปลายแพรแถบข้างขวาของตราสัญญลักษณ์ เขียน 2456 เป็นปี พ.ศ. ประสูติ
แถบข้างซ้ายเขียนปีที่ฉลองพระชันษาครบ 100 ปี พ.ศ. 2556
ตลอดระยะเวลากว่า 230 ปีของกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ได้ทรงสถาปนาพระมหาเถระผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช ต่อเนื่องมาแล้ว 19 พระองค์ พระองค์ที่ 19 ได้แก่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นับแต่การพระราชพิธีสถาปนา เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 จนถึงบัดนี้ พุทธศักราช 2556 รวมเวลาที่ทรงดำรงอยู่ในตำแหน่ง 24 ปี นับว่าทรงดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใดในอดีตที่ผ่านมา และการที่จะทรงเจริญพระชันษา 100 ปี ในศกนี้ จึงทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีพระชันษายืนยาวที่สุดเท่าที่มีปรากฏมาในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทย
ทีฆายุโก โหตุ สังฆปริณายโก ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา
อ้างอิง - พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร - www.watbowon.com
- พระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร ของ ท่านอาจารย์สุเชาวน์ พลอยชุม
- ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร
- นิทรรศการ พระชันษา 100 ปี สดุดีพระสังฆบิดร
ขอขอบคุณ ท่านเจ้าของภาพถ่ายในอินเทอร์เน็ตทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบเป็นวิทยาทาน
ทีฆายุโก โหตุ สังฆปริณายโก ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา
อ้างอิง - พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร - www.watbowon.com
- พระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร ของ ท่านอาจารย์สุเชาวน์ พลอยชุม
- ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร
- นิทรรศการ พระชันษา 100 ปี สดุดีพระสังฆบิดร
ขอขอบคุณ ท่านเจ้าของภาพถ่ายในอินเทอร์เน็ตทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบเป็นวิทยาทาน
สาธุครับ
ตอบลบ