เหตุที่เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร แบ่งพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งมาประดิษฐานไว้ ณ ดินแดนหาดทรายแก้วแห่งนี้ มีตำนานบอกเล่าความเป็นมาไว้ว่า..
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ท่ามกลางหมู่สงฆ์และทวยเทพ ดอกไม้ทิพย์ทั้งปวงร่วงโปรยลงมาเป็นพุทธบูชา |
ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 1 หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จ มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดใส่ในพระหีบทอง ประดิษฐานไว้ในศาลากลางพระนครกุสินารา จัดให้มีมหรสพสมโภชตลอด 7 วัน
ฝ่ายกษัตริย์จากแคว้นต่าง ๆ เมื่อทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ ต่างก็ส่งราชทูตนำสาส์นมาขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุพร้อมทั้งยกกองทัพติดตามมาด้วย รวม 6 นครและมีพราหมณ์อีก 1 นคร
มัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินาราตรัสปฏิเสธทูตานุทูตทั้ง 7 พระนคร ไม่ยินยอมที่จะแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุถวายแก่เจ้าองค์ใดเลย ฝ่ายทูตานุทูตทั้ง 7 พระนครนั้นก็มิได้ย่อท้อ เกิดเหตุโต้เถียงกันขึ้น จวนจะเกิดวิวาทเป็นสงครามใหญ่
ฝ่ายกษัตริย์จากแคว้นต่าง ๆ เมื่อทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ ต่างก็ส่งราชทูตนำสาส์นมาขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุพร้อมทั้งยกกองทัพติดตามมาด้วย รวม 6 นครและมีพราหมณ์อีก 1 นคร
มัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินาราตรัสปฏิเสธทูตานุทูตทั้ง 7 พระนคร ไม่ยินยอมที่จะแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุถวายแก่เจ้าองค์ใดเลย ฝ่ายทูตานุทูตทั้ง 7 พระนครนั้นก็มิได้ย่อท้อ เกิดเหตุโต้เถียงกันขึ้น จวนจะเกิดวิวาทเป็นสงครามใหญ่
โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่พราหมณ์และกษัตริย์ 7 พระนคร |
ขณะนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า "โทณะ" เป็นอาจารย์ของกษัตริย์เหล่านั้น ได้ยินการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงขึ้น จึงออกไประงับข้อพิพาทดังกล่าวและประกาศว่าจะแบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กัน จะได้อัญเชิญไปบรรจุในสถูปทุก ๆ พระนครเพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของมหาชน กษัตริย์และพราหมณ์ทั้ง 8 พระนครได้ฟังดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบพร้อมกับมอบธุระให้โทณพราหมณ์แบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุ
ในครั้งนั้น มีพระเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ ทราบด้วยอนาคตังสญาณ (ญาณที่ล่วงรู้อนาคต) ว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในภาคกลางและภาคใต้ของชมพูทวีป (ตอนกลางและตอนใต้ของอินเดีย) และจะเคลื่อนเข้าสู่สุวรรณทวีป (ประเทศไทย) จึงกำบังกาย อัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว (พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ออกจากจิตกาธาน (เชิงตะกอน) นำไปถวายพระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์แห่งแคว้นกาลิงคะ ให้เป็นมิ่งขวัญแก่พุทธศาสนิกชนเพราะดินแดนส่วนนั้นมิได้รับแจกพระบรมสารีริกธาตุจากโทณพราหมณ์
ในครั้งนั้น มีพระเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ ทราบด้วยอนาคตังสญาณ (ญาณที่ล่วงรู้อนาคต) ว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในภาคกลางและภาคใต้ของชมพูทวีป (ตอนกลางและตอนใต้ของอินเดีย) และจะเคลื่อนเข้าสู่สุวรรณทวีป (ประเทศไทย) จึงกำบังกาย อัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว (พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ออกจากจิตกาธาน (เชิงตะกอน) นำไปถวายพระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์แห่งแคว้นกาลิงคะ ให้เป็นมิ่งขวัญแก่พุทธศาสนิกชนเพราะดินแดนส่วนนั้นมิได้รับแจกพระบรมสารีริกธาตุจากโทณพราหมณ์
ภาพวาด เจ้าหญิงเหมชาลา และเจ้าชายทันทกุมาร วาดโดย Solias Mendis จิตรกรชาวลังกา |
พระเขี้ยวแก้วได้เสด็จเคลื่อนย้ายไปยังพระนครต่าง ๆ ในลุ่มน้ำมหานที จนกาลเวลาล่วงไป 800 ปีเศษ เสด็จมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองทันทบุรี เจ้าเมืองชื่อท้าวโกสีหราช มีพระอัครมเหสีชื่อนางมหาเทวี มีพระธิดาผู้พี่ชื่อ เจ้าหญิงเหมชาลา และพระราชโอรสผู้น้องชื่อ เจ้าชายทันทกุมาร
การเสด็จมาของพระเขี้ยวแก้ว ทราบถึงท้าวอังกุศราชแห่งเมืองขันธบุรี ได้ยกทัพกองทัพใหญ่มาตีเมืองทันทบุรีหมายจะช่วงชิง ท้าวโกสีหราชไม่ประสงค์จะให้พระเขี้ยวแก้วตกไปอยู่ในมือของพวกทมิฬเดียรถีย์ จึงรับสั่งให้เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร ลอบหนีออกนอกเมืองพร้อมกับอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปถวายพระเจ้ากรุงลังกา ส่วนตัวพระองค์ได้นำทัพเข้ากระทำยุทธหัตถี แต่เนื่องด้วยพระชันษาย่างเข้าวัยชรา จึงเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่ท้าวอังกุศราช สิ้นพระชนม์บนคอช้างในที่สุด
การเสด็จมาของพระเขี้ยวแก้ว ทราบถึงท้าวอังกุศราชแห่งเมืองขันธบุรี ได้ยกทัพกองทัพใหญ่มาตีเมืองทันทบุรีหมายจะช่วงชิง ท้าวโกสีหราชไม่ประสงค์จะให้พระเขี้ยวแก้วตกไปอยู่ในมือของพวกทมิฬเดียรถีย์ จึงรับสั่งให้เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร ลอบหนีออกนอกเมืองพร้อมกับอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปถวายพระเจ้ากรุงลังกา ส่วนตัวพระองค์ได้นำทัพเข้ากระทำยุทธหัตถี แต่เนื่องด้วยพระชันษาย่างเข้าวัยชรา จึงเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่ท้าวอังกุศราช สิ้นพระชนม์บนคอช้างในที่สุด
อนุสาวรีย์ เจ้าหญิงเหมชาลา และเจ้าชายทันทกุมาร ที่ประเทศศรีลังกา |
ฝ่ายเจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร ได้ปลอมพระองค์เป็นพ่อค้าวาณิช ซ่อนพระเขี้ยวแก้วไว้ในพระเมาลีเหนือเศียรเกล้า โดยสารเรือสำเภากางใบเดินทางไปยังเกาะลังกา ระหว่างทางเรือถูกพายุซัดมาเกยฝั่งเมืองตะโกลา (อำเภอตะกั่วป่า บ้างก็ว่าเป็นเมืองตรัง)
เมื่อขึ้นบกที่เมืองตะโกลา ทรงทราบจากชาวเมืองว่า ที่หาดทรายแก้ว (นครศรีธรรมราช) มีพ่อค้าวาณิชเดินทางไปมาค้าขายระหว่างสุวรรณภูมิกับลังกาอยู่เป็นประจำ จึงดั้นด้นเดินทางบกต่อมาถึงหาดทรายแก้ว เพื่อรออาศัยเรือสินค้าเดินทางไปลังกาต่อไป ระหว่างนั้น ได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากพระเมาลีลงฝังประทับไว้ที่หาดทรายแก้วเป็นการชั่วคราว
เมื่อขึ้นบกที่เมืองตะโกลา ทรงทราบจากชาวเมืองว่า ที่หาดทรายแก้ว (นครศรีธรรมราช) มีพ่อค้าวาณิชเดินทางไปมาค้าขายระหว่างสุวรรณภูมิกับลังกาอยู่เป็นประจำ จึงดั้นด้นเดินทางบกต่อมาถึงหาดทรายแก้ว เพื่อรออาศัยเรือสินค้าเดินทางไปลังกาต่อไป ระหว่างนั้น ได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากพระเมาลีลงฝังประทับไว้ที่หาดทรายแก้วเป็นการชั่วคราว
กาลนั้น มีพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ชื่อพระมหาเถรพรหมเทพ เหาะผ่านมา เห็นพระเขี้ยวแก้วที่ฝังไว้เปล่งรัศมีโชติช่วงสว่างไสว จึงแวะทำประทักษิณ พร้อมกับทำนายว่า ต่อไปเบื้องหน้า จะมีกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการ มาสร้างเมืองใหญ่ ณ หาดทรายแก้วแห่งนี้ และจะทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ฝ่ายเจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร หลังจากที่เดินทางถึงลังกา ได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงลังกา ถวายพระเขี้ยวแก้วและกราบทูลเรื่องราวความเป็นมาให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงลังกาทรงดูแลรับรองเจ้าหญิงและเจ้าชายทั้งสองพระองค์เป็นอย่างดี ทรงจัดให้มีพิธีสมโภชพระเขี้ยวแก้วและรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์บนยอดบรรพตเพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วให้เป็นที่สักการบูชาของประชาชนสืบไป
พระเขี้ยวแก้วที่เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร อัญเชิญมาจากอินเดีย ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัด Sri Dalada Maligawa เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา |
ต่อมา เมืองทันทบุรีกู้อิสรภาพคืนกลับมาได้และสถานการณ์บ้านเมืองได้เข้าสู่ภาวะปรกติสุข เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมารจึงทูลลากลับแผ่นดินเกิด พระเจ้ากรุงลังกาทรงมีพระราชสาส์นถึงเจ้าเมืองทันทบุรี ให้ต้อนรับอุปถัมภ์เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร ผู้เป็นพระราชธิดาและพระราชโอรสของท้าวโกสีหราชซึ่งทิวงคตในการสงคราม และมีบัญชาให้มหาพราหมณ์อำมาตย์สี่คน ร่วมเดินทางเพื่อคอยดูแลให้ความช่วยเหลือ และทรงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุให้ 1 ทะนาน
อนุสาวรีย์เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมาร ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช |
เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมารได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่รับพระราชทานมาจากพระเจ้ากรุงลังกาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนำมาบรรจุไว้ที่หาดทรายแก้วและก่อเจดีย์สวมครอบไว้ ณ รอยเดิมที่เจ้าหญิงและเจ้าชายเคยฝังพระเขี้ยวแก้วไว้ชั่วคราวก่อนหน้านี้ พระบรมสารีริกธาตุอีกส่วนหนึ่ง อัญเชิญกลับไปยังเมืองทันทบุรี จากนั้น มหาพราหมณ์ทั้งสี่ได้ประกอบพิธีไสยเวทย์ ผูกพยนต์เป็นกา 4 ฝูง เพื่อให้เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุมิให้เกิดอันตราย คือ
กาสีขาว 1 ฝูง เรียกว่า 'กาแก้ว' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศตะวันออก
กาสีเหลือง 1 ฝูง เรียกว่า 'การาม' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศใต้
กาสีแดง 1 ฝูง เรียกว่า 'กาชาด' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศตะวันตก
และกาสีดำ 1 ฝูง เรียกว่า 'กาเดิม' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศเหนือ
การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์แต่โบราณของเมืองนครศรีธรรมราช จัดคณะสงฆ์เป็น 4 คณะและได้นำชื่อกาทั้ง 4 ฝูงมาตั้งเป็นชื่อของคณะสงฆ์แต่ละคณะ โดยยึดเอาแบบกาพยนต์ที่รักษาพระบรมธาตุเจดีย์ในตำนานมาเป็นนัย คือ คณะกาแก้ว คณะการาม คณะกาชาด และคณะกาเดิม
พระสงฆ์ที่เป็นประธานหรือหัวหน้าของแต่ละคณะ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูกา คือ พระครูกาแก้ว พระครูการาม พระครูกาชาด และพระครูกาเดิม ตำแหน่งเทียบเท่าสังฆราชหัวเมืองหรือพระราชาคณะ เป็นสมณศักดิ์สำหรับสงฆ์ภาคใต้อันมีมาแต่โบราณกาล และได้ใช้ระเบียบแบบแผนนี้มาอย่างยาวนาน เมืองไชยา (สุราษฎร์ธานี) และเมืองพัทลุง ซึ่งมีพระบรมธาตุประดิษฐานอยู่ (หมายถึงพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระธาตุบางแก้ว วัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) ก็รับเอาระเบียบเดียวกันนี้ไปใช้ด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงศาสนจักรให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางและจัดสมณศักดิ์เสียใหม่ สมณศักดิ์พระครูกาอันมีเกียรติและศักดิ์ศรีเทียบเท่าพระราชาคณะ จึงเปลี่ยนฐานานุกรมเป็นพระครู
พระครูปุริมานุรักษ์ เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศตะวันออก
พระครูทักษิณานุกิจ เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศใต้
พระครูปัจฉิมทิศบริหาร เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศตะวันตก
พระครูอุตรการบดี เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศเหนือ
กาสีขาว 1 ฝูง เรียกว่า 'กาแก้ว' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศตะวันออก
กาสีเหลือง 1 ฝูง เรียกว่า 'การาม' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศใต้
กาสีแดง 1 ฝูง เรียกว่า 'กาชาด' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศตะวันตก
และกาสีดำ 1 ฝูง เรียกว่า 'กาเดิม' เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศเหนือ
การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์แต่โบราณของเมืองนครศรีธรรมราช จัดคณะสงฆ์เป็น 4 คณะและได้นำชื่อกาทั้ง 4 ฝูงมาตั้งเป็นชื่อของคณะสงฆ์แต่ละคณะ โดยยึดเอาแบบกาพยนต์ที่รักษาพระบรมธาตุเจดีย์ในตำนานมาเป็นนัย คือ คณะกาแก้ว คณะการาม คณะกาชาด และคณะกาเดิม
พระสงฆ์ที่เป็นประธานหรือหัวหน้าของแต่ละคณะ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูกา คือ พระครูกาแก้ว พระครูการาม พระครูกาชาด และพระครูกาเดิม ตำแหน่งเทียบเท่าสังฆราชหัวเมืองหรือพระราชาคณะ เป็นสมณศักดิ์สำหรับสงฆ์ภาคใต้อันมีมาแต่โบราณกาล และได้ใช้ระเบียบแบบแผนนี้มาอย่างยาวนาน เมืองไชยา (สุราษฎร์ธานี) และเมืองพัทลุง ซึ่งมีพระบรมธาตุประดิษฐานอยู่ (หมายถึงพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระธาตุบางแก้ว วัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) ก็รับเอาระเบียบเดียวกันนี้ไปใช้ด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงศาสนจักรให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางและจัดสมณศักดิ์เสียใหม่ สมณศักดิ์พระครูกาอันมีเกียรติและศักดิ์ศรีเทียบเท่าพระราชาคณะ จึงเปลี่ยนฐานานุกรมเป็นพระครู
นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้มีตำแหน่งพระครูรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ เช่นเดียวกับพระครูการักษาองค์พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช คือ
พระครูปุริมานุรักษ์ เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศตะวันออก
พระครูทักษิณานุกิจ เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศใต้
พระครูปัจฉิมทิศบริหาร เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศตะวันตก
พระครูอุตรการบดี เฝ้ารักษาพระปฐมเจดีย์อยู่ทางทิศเหนือ
ภาพถ่าย หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม ขณะดำรงสมณศักดิ์ พระครูทักษิณานุกิจ |
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นครปฐม รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระครูอุตรการบดี เป็นรูปแรก เป็นพระเถระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงให้ความเคารพนับถือมากรูปหนึ่ง |
นับจากปี พ.ศ. 854 ที่เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทันทกุมารได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว ภูมิประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คลื่นได้ซัดพาเอาโคลนทรายขึ้นถมทับพระเจดีย์ กลายเป็นป่าดงไม่มีร่องรอยพระเจดีย์เดิมให้เห็น กาลเวลาล่วงเลยไปนับร้อยปี มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้อพยพผู้คนหนีภัยโรคระบาดมาตั้งเมืองใหม่ที่หาดทรายแก้ว
อนุสาวรีย์พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ณ สวนสาธารณะศรีธรรมาโศกราช นครศรีธรรมราช |
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชปฐมกษัตริย์ ได้ทราบจากพระเถระชาวลังการูปหนึ่ง ถึงเรื่องราวการเดินทางของเจ้าหญิงเหมชาลา เจ้าชายทันทกุมารและพระบรมสารีริกธาตุที่ฝังไว้ ณ หาดทรายแก้ว ตลอดจนคำทำนายของพระมหาเถรพรหมเทพเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการจะมาสร้างเมืองใหม่และสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ก็มีความโสมนัสยิ่งนัก ได้ออกสืบเสาะหาตำแหน่งที่พระบรมสารีริกธาตุฝังอยู่จนพบพระเจดีย์ แต่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้ ด้วยมีฝูงกาพยนต์ไล่จิกทำร้ายอยู่
ครั้งนั้น มีชายชาวเมืองชื่อจันที เข้าเฝ้าเล่าความให้ฟังว่า เมื่อบิดาตนยังมีชีวิตอยู่ ได้ศึกษาวิชาปราบหุ่นพยนต์ที่เมืองโรมวิสัย แล้วสักตำราไว้ที่ขา แต่ทางเมืองโรมวิสัยไม่ต้องการให้คนต่างด้าวรู้ตำรา จึงใช้หุ่นพยนต์มาตัดคอบิดาตนเสีย แต่ตนได้เคยเรียนวิชาจากศพของบิดา จึงรับอาสาปราบ กาพยนต์ก็สิ้นฤทธิ์ในที่สุด จากนั้น พระอินทร์มีเทวโองการถึงพระวิษณุให้ช่วยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และอยู่ช่วยงานสร้างพระเจดีย์ใหม่จนแล้วเสร็จ ตามตำนานเล่าไว้เช่นนี้
ครั้งนั้น มีชายชาวเมืองชื่อจันที เข้าเฝ้าเล่าความให้ฟังว่า เมื่อบิดาตนยังมีชีวิตอยู่ ได้ศึกษาวิชาปราบหุ่นพยนต์ที่เมืองโรมวิสัย แล้วสักตำราไว้ที่ขา แต่ทางเมืองโรมวิสัยไม่ต้องการให้คนต่างด้าวรู้ตำรา จึงใช้หุ่นพยนต์มาตัดคอบิดาตนเสีย แต่ตนได้เคยเรียนวิชาจากศพของบิดา จึงรับอาสาปราบ กาพยนต์ก็สิ้นฤทธิ์ในที่สุด จากนั้น พระอินทร์มีเทวโองการถึงพระวิษณุให้ช่วยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และอยู่ช่วยงานสร้างพระเจดีย์ใหม่จนแล้วเสร็จ ตามตำนานเล่าไว้เช่นนี้
พระบรมธาตุไชยา สุราษฎร์ธานี |
เจดีย์หน้าประตูเหมรังสี มีมาแต่เดิม ไม่ปรากฏที่มาของการก่อสร้าง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจเป็นรูปแบบขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ดั้งเดิมสมัยศรีวิชัย |
เชื่อกันว่า พระบรมธาตุเจดีย์เมื่อแรกสร้าง เป็นเจดีย์ทรงมณฑปแบบศิลปะศรีวิชัย คล้ายพระบรมธาตุไชยาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ต่อมา พระสถูปแบบศรีวิชัยทรุดโทรมลง จึงมีการสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทรงลังกาซึ่งเป็นเจดีย์องค์ปัจจุบันครอบไว้ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18-19
องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นรูประฆังคว่ำ อันเป็นอิทธิพลทางศิลปกรรมจากลังกา ความสูงจากระดับพื้นดินถึงปลายยอด 55.99 เมตร ส่วนที่หุ้มด้วยทองคำคือส่วนที่อยู่เหนือปล้องไฉนขึ้นไป เป็นกลีบบัวคว่ำบัวหงายปูนปั้นหุ้มด้วยทองคำ ความสูง 1.20 เมตร ถัดจากกลีบบัวคว่ำบัวหงายขึ้นไป เป็นส่วนปลียอดทองคำ ความสูงถึงปลายสุด 10.89 เมตร บุด้วยแผ่นทองคำแท้ และแผ่นทองคำแท้ดุนลายดอกประดับด้วยรัตนชาติ
ยอดพระบรมธาตุเจดีย์ ระหว่างการบูรณะปฏิสังขรณ์ ปี พ.ศ. 2558 - 2560 |
ปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์ |
ยอดพระบรมธาตุเจดีย์ตกแต่งเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับด้วยทอง ลูกปัด ลูกแก้ว และรัตนชาติ ยอดบนสุดมีบาตรน้ำมนต์ 1 ใบโตขนาดวางไข่ไก่ได้หนึ่งฟอง วางหงายอยู่บนกำไลหยกเพื่อรองรับน้ำฝน น้ำฝนและน้ำค้างที่ตกเต็มอยู่ภายใน เมื่อถูกแดดถูกลมระเหยเป็นไอ จะกระจายไปทั่วสารทิศ ประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์ที่ประพรมลงมาจากยอดพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เข้าไปสักการะบูชา
พระระเบียงตีนธาตุ หรือ วิหารทับเกษตร เป็นพระระเบียงที่อยู่โดยรอบพระบรมธาตุเจดีย์ มีความยาวเท่ากันทั้ง 4 ด้าน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ |
ตามตำนานกล่าวว่า ภายในองค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีสระกว้างยาวด้านละ 8 วา ลึก 8 วา พื้นสระรองด้วยแผ่นศิลาขนาดใหญ่ ผนังสระก่อยึดด้วยปูนเพชรทั้งสี่ด้าน ภายในสระนี้ ทำเป็นสระเล็กขึ้นอีกสระหนึ่ง หล่อด้วยปูนเพชร กว้างยาวด้านละ 2 วา ลึก 2 วา ใส่น้ำพิษพญานาค มีแม่ขันทองคำลอยอยู่ ภายในขันบรรจุผอบทองคำ ภายในผอบประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มุมสระทั้งสี่ มีตุ่มบรรจุทองคำตั้งอยู่ แต่ละตุ่มหนัก 38 คนหาม ตำนานดังกล่าว ยังคงเป็นปริศนาลี้ลับตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
พระวิหารหลวง เดิมคงเป็นวิหาร เพราะไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษา จึงใช้พระวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถ แต่ชาวบ้านยังคงเรียกกันว่า พระวิหารหลวง เช่นเดิมตลอดมา |
พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระประธานในพระวิหารหลวง เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น |
แต่เดิมวัดพระบรมธาตุ จัดเป็นเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เรียกว่า "พุทธบุรี" ต่อมาเรียกว่า "วัดพระบรมธาตุ" ปี พ.ศ. 2458 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ อุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ทรงอาราธนาพระสงฆ์จากวัดเพชรจริกมาจำพรรษา มีพระครูวินัยธร (นุ่น) เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 1 และคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช โปรดพระราชทานนามวัดว่า วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
พระบรมธาตุเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะพี่น้องชาวปักษ์ใต้ ถือกันว่า อย่างน้อยที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้ได้มาสักการะบูชา ก็นับว่าเป็นมงคลสูงสุด
อ้างอิง - ประวัติและตำนาน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร - พระเทพวราภรณ์
- การบูรณะปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์ - กรมศิลปากร
ขอขอบคุณ ท่านเจ้าของภาพถ่ายในอินเทอร์เน็ตทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบเป็นวิทยาทาน
พระบรมธาตุเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะพี่น้องชาวปักษ์ใต้ ถือกันว่า อย่างน้อยที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้ได้มาสักการะบูชา ก็นับว่าเป็นมงคลสูงสุด
คำกราบบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ)
อะหัง วันทามิ ธาตุโย
อะหัง วันทามิ สัพพะโส
อะหัง สุขิโต โหมิ
ข้าพเจ้า ขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้า ขอกราบนอบน้อมบูชาพระคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาธิคุณ หาประมาณมิได้
ที่เสียสละสั่งสมบารมีนับชาติมิถ้วน เพื่อตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ประกาศธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏ
ข้าพเจ้าบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง
พร้อมกราบพระธรรมและพระอริยสงฆ์
ด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้ ขอเป็นปัจจัยให้ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอย่างไร
ขอข้าพเจ้ามีส่วนรู้ตามธรรมของพระองค์
แม้ต้องเกิดอยู่ในภพชาติใด ๆ ขอเกิดภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนา
ได้พบสัตบุรุษผู้รู้ธรรมอันประเสริฐ มีกรรมสัมพันธ์ที่ดี
ได้เกิดท่ามกลางกัลยาณมิตร และเป็นสัมมาทิฏฐิทุกชาติไป
มีโอกาสฟังธรรมและประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัยให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณ
ตามส่งชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป จนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ
ด้วยกรรมใดที่ได้ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ในอดีตชาติก็ตาม ปัจจุบันชาติก็ตาม ขอกราบอโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
ขอผลบุญจงสำเร็จแด่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง ท่านเจ้ากรรมนายเวร
ตลอดจนท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบ ในการดำรงรักษาไว้
ซึ่งประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์
ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์
ขอให้ท่านทั้งหลายดังกล่าวนามมานั้น จงมีแต่ความสุขทุกท่านเทอญ
อ้างอิง - ประวัติและตำนาน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร - พระเทพวราภรณ์
- การบูรณะปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์ - กรมศิลปากร
ขอขอบคุณ ท่านเจ้าของภาพถ่ายในอินเทอร์เน็ตทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบเป็นวิทยาทาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น