พระอธิการจง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
เมื่อหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคได้มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็แวะมาวัดของหลวงพ่อจงบ่อยขึ้น วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อจง ก็พอดีภรรยาของกำนันมากได้มากราบหลวงพ่อจงเพื่อถามถึงสามีของเธอที่ไปธุระทางเมืองเหนือ แล้วก็เงียบหายไปทั้ง ๆ ที่ควรจะกลับถึงบ้านหลายวันแล้ว เธอเกรงว่าอาจจะเกิดอันตราย
หลวงพ่อจงฟังแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือตำราพรหมชาติขึ้นมา เปิดปุ๊บก็อ่านปั๊บ ท่านอ่านว่า สิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นมหาฤกษ์ ตามตำราท่านทายว่า เวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แล้วท่านก็วางหนังสือลง บอกว่า นี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากน่ะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้วนะ ลองไปดูสิว่าตำราเขาพูดไว้ถูกหรือผิดประการใด
เมื่อภรรยาของกำนันมากลาไปแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็หยิบหนังสือขึ้นมาดู เพราะแปลกใจว่าตำราที่ไหนจะรู้มากขนาดบอกได้ว่ากำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ปรากฏว่าไม่มีในตำรา จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อจงว่า ตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่นา มันเป็นเรื่องอื่น หลวงพ่อจงท่านก็บอกว่าฉันเป็นคนแก่ สายตาไม่ค่อยดี ตามันเห็นอย่างไรก็อ่านไปอย่างนั้น
คุยกับท่านอยู่สักพักใหญ่ ลูกชายกำนันมากก็เข้ามากราบหลวงพ่อจง บอกว่าคุณพ่อกลับมาแล้วขอรับหลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันจะกลับ !
หลวงพ่อจงฟังแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือตำราพรหมชาติขึ้นมา เปิดปุ๊บก็อ่านปั๊บ ท่านอ่านว่า สิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นมหาฤกษ์ ตามตำราท่านทายว่า เวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แล้วท่านก็วางหนังสือลง บอกว่า นี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากน่ะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้วนะ ลองไปดูสิว่าตำราเขาพูดไว้ถูกหรือผิดประการใด
เมื่อภรรยาของกำนันมากลาไปแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็หยิบหนังสือขึ้นมาดู เพราะแปลกใจว่าตำราที่ไหนจะรู้มากขนาดบอกได้ว่ากำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ปรากฏว่าไม่มีในตำรา จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อจงว่า ตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่นา มันเป็นเรื่องอื่น หลวงพ่อจงท่านก็บอกว่าฉันเป็นคนแก่ สายตาไม่ค่อยดี ตามันเห็นอย่างไรก็อ่านไปอย่างนั้น
คุยกับท่านอยู่สักพักใหญ่ ลูกชายกำนันมากก็เข้ามากราบหลวงพ่อจง บอกว่าคุณพ่อกลับมาแล้วขอรับหลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันจะกลับ !
หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค |
เมื่อเล่าเรื่องหลวงพ่อจงแล้ว ก็อดที่จะเล่าเรื่องหลวงพ่อปานด้วยไม่ได้ เพราะหลวงพ่อจงกับหลวงพ่อปานนั้น ท่านผูกพันกันใกล้ชิด ท่านทั้งสองมีอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อจงเป็นศิษย์ผู้พี่ ส่วนหลวงพ่อปานเป็นศิษย์ผู้น้อง
พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นพระอาจารย์ไว้มากมาย ขอนำมาเล่าสู่กันฟังต่ออีกสักเล็กน้อย..
พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นพระอาจารย์ไว้มากมาย ขอนำมาเล่าสู่กันฟังต่ออีกสักเล็กน้อย..
ครั้งหนึ่ง พระลูกวัดบางนมโคมีหน้าที่ต้องช่วยกันดัดเหล็กให้ได้รูปเพื่อจะนำไปใช้ทำเสาและคานโบสถ์ เหล็กที่ใช้เป็นเหล็กขนาดแปดหุน มีขนาดใหญ่ หลวงพ่อปานท่านเลือกเองเพื่อความคงทนแข็งแรง บังเอิญกุญแจที่ใช้ดัดเหล็กไม่อยู่เพราะวัดอื่นยืมไปใช้และยังไม่ได้ส่งคืน จะไปทวงคืนระยะทางก็ไกล เดินทางทั้งไปทั้งกลับก็จะเสียเวลามาก แต่ถ้าไม่มีกุญแจดัดเหล็กก็ทำงานต่อไม่ได้
ขณะที่กำลังเอะอะโวยวายกันอยู่นั้น หลวงพ่อปานท่านเดินมาพอดี ท่านก็ถามว่าเกิดเรื่องอะไร เมื่อพระลูกวัดกราบเรียนท่านว่ากุญแจดัดเหล็กไม่มี วัดสุธาโภชน์ยืมไปใช้ ยังไม่ได้เอากลับคืนมา จึงไม่สามารถดัดเหล็กเสาโบสถ์ได้ หลวงพ่อปานท่านก็เลยว่า ไม่มีกุญแจก็ใช้มือดัดแล้วกัน ว่าแล้วท่านก็ให้เอาเหล็กขึ้นพาดบนที่ดัดและให้พระลูกวัดใช้มือง้าง ปรากฏว่าวันนั้นเหล็กขนาดใหญ่กลายเป็นเหล็กอ่อน ง้างได้สบาย ๆ จะดึงให้ตรงก็ตรง จะดัดให้คดให้งอไปทางไหน ก็เป็นไปดังที่ต้องการทุกอย่าง คล้าย ๆ กับกำลังดัดเทียนอ่อน ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
พระลูกวัดทั้งหมดประมาณสี่สิบรูปก้มลงกราบหลวงพ่อปานพร้อมกัน เรียนถามท่านว่าทำได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าพลังอะไรจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี พลังจิตนี้มีกำลังมาก ฉะนั้น หากได้ฝึกฝนจิตไว้ดีแล้ว จะนำไปใช้อย่างไรก็ได้ พระลูกวัดก็เลยกราบเรียนถามท่านต่อว่านี่เป็นอำนาจของอภิญญาใช่หรือไม่ ท่านบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตอบ
ขณะที่กำลังเอะอะโวยวายกันอยู่นั้น หลวงพ่อปานท่านเดินมาพอดี ท่านก็ถามว่าเกิดเรื่องอะไร เมื่อพระลูกวัดกราบเรียนท่านว่ากุญแจดัดเหล็กไม่มี วัดสุธาโภชน์ยืมไปใช้ ยังไม่ได้เอากลับคืนมา จึงไม่สามารถดัดเหล็กเสาโบสถ์ได้ หลวงพ่อปานท่านก็เลยว่า ไม่มีกุญแจก็ใช้มือดัดแล้วกัน ว่าแล้วท่านก็ให้เอาเหล็กขึ้นพาดบนที่ดัดและให้พระลูกวัดใช้มือง้าง ปรากฏว่าวันนั้นเหล็กขนาดใหญ่กลายเป็นเหล็กอ่อน ง้างได้สบาย ๆ จะดึงให้ตรงก็ตรง จะดัดให้คดให้งอไปทางไหน ก็เป็นไปดังที่ต้องการทุกอย่าง คล้าย ๆ กับกำลังดัดเทียนอ่อน ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
พระลูกวัดทั้งหมดประมาณสี่สิบรูปก้มลงกราบหลวงพ่อปานพร้อมกัน เรียนถามท่านว่าทำได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าพลังอะไรจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี พลังจิตนี้มีกำลังมาก ฉะนั้น หากได้ฝึกฝนจิตไว้ดีแล้ว จะนำไปใช้อย่างไรก็ได้ พระลูกวัดก็เลยกราบเรียนถามท่านต่อว่านี่เป็นอำนาจของอภิญญาใช่หรือไม่ ท่านบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตอบ
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย |
เรื่องถัดมา คัดลอกมาจากข้อเขียนของคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต เกี่ยวกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ซึ่งท่านอาจารย์องค์หนึ่ง ใช้ชื่อย่อว่า ท่านอาจารย์ "ย" เป็นผู้ประสบด้วยตนเองและนำมาเล่าสู่กันฟัง ความว่า..
สมัยที่หลวงปู่ชอบ พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเณรที่ตามขึ้นไปอยู่ทำความเพียรบนยอดเขา วันหนึ่งเป็นวันพระ ท่านกับพระเณรต้องลงจากเขาเพื่อไปร่วมลงอุโบสถที่วัด หลวงปู่ท่านก็นำพระเดินลงจากผาแด่น ถึงลำธารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าน้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก ด้วยคืนที่ผ่านมาฝนตกลงมาอย่างหนักและตกติดต่อกันเป็นเวลานาน
พูดถึงฝนที่ตกตามป่าเขา เป็นที่ทราบกันดีว่า พอฝนหายจะมีน้ำป่าไหลบ่าอย่างรุนแรง บางทีธารน้ำเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อมได้
คราวนี้ก็เช่นกัน จากยอดเขาผ่านลำธารเพื่อไปยังวัดที่จะไปร่วมลงอุโบสถนั้น ทางเดินได้ถูกตัดขาดไปเสียแล้ว ด้วยลำธารนั้นถูกกระแสน้ำไหลบ่าท่วมล้นตลิ่งจนกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อม ไม่มีใครกล้าเดินข้าม เพราะน้ำลึกและไหลเชี่ยว ถึงจะลอยคอข้าม ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กระแสน้ำได้ อาจถูกพัดพาไปกระทบโขดหินเกาะแก่งข้างล่างได้
หลวงปู่ชอบไปยืนพิจารณาอยู่เพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก จนท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ไหลเสียงดังซู่ ๆ ก็กลับหยุดกึกลงทันที
พระเณรที่ร่วมคณะต่างตกตะลึงกันหมด คิดกันว่า เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่ชอบมาก็มากแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นประจักษ์กับตาตนเองก็คราวนี้
หลวงปู่ชอบก้าวข้ามลำธารไปก่อน เห็นศิษย์แต่ละคนยังไม่แสดงอาการคลายจากความงวยงง ท่านก็เร่งให้ตามไป
ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองขณะที่ก้าวข้ามลำธารนั้น ยังอยู่ในอาการกึ่งกลัวกึ่งกล้าอยู่ กึ่งกลัวคือกลัวว่าภาพที่มองเห็นน้ำหยุดไหลและแห้งผากนั้นจะเป็นภาพลวงตา กึ่งกล้าคือคิดว่า เราเองก็ศิษย์มีอาจารย์ เรามากับท่านอาจารย์ พระคุณท่านคงคุ้มกันเราได้แน่นอน
มัวนึกกันอยู่ว่า น้ำที่หยุดไหลกึกนี้ หากเรากำลังเดินข้ามอยู่ จู่ ๆ มันพรวดพุ่งมาประดุจเทออกจากกระบอก ร่างกายเราจะไม่แหลกไปหรือ กว่าพระจะได้สติกัน ก็ข้ามลำธารกันมาได้หมดทุกองค์ และเมื่อเดินพ้นมาเพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำก็ไหลบ่าเชี่ยวกรากต่อไปดังเดิม
ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองอดใจไว้ไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีโอกาส จึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ชอบว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทำอย่างไรน้ำจึงหยุดได้ หลวงปู่ตอบด้วยอารมณ์ดีว่า "มีบทบริกรรมนะซิ" เมื่อถามหลวงปู่ว่า "บทบริกรรมมีว่าอย่างไรขอรับ" ท่านก็ตอบว่า "ภาวนาไปก็รู้เอง"
สมัยที่หลวงปู่ชอบ พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเณรที่ตามขึ้นไปอยู่ทำความเพียรบนยอดเขา วันหนึ่งเป็นวันพระ ท่านกับพระเณรต้องลงจากเขาเพื่อไปร่วมลงอุโบสถที่วัด หลวงปู่ท่านก็นำพระเดินลงจากผาแด่น ถึงลำธารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าน้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก ด้วยคืนที่ผ่านมาฝนตกลงมาอย่างหนักและตกติดต่อกันเป็นเวลานาน
พูดถึงฝนที่ตกตามป่าเขา เป็นที่ทราบกันดีว่า พอฝนหายจะมีน้ำป่าไหลบ่าอย่างรุนแรง บางทีธารน้ำเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อมได้
คราวนี้ก็เช่นกัน จากยอดเขาผ่านลำธารเพื่อไปยังวัดที่จะไปร่วมลงอุโบสถนั้น ทางเดินได้ถูกตัดขาดไปเสียแล้ว ด้วยลำธารนั้นถูกกระแสน้ำไหลบ่าท่วมล้นตลิ่งจนกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อม ไม่มีใครกล้าเดินข้าม เพราะน้ำลึกและไหลเชี่ยว ถึงจะลอยคอข้าม ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กระแสน้ำได้ อาจถูกพัดพาไปกระทบโขดหินเกาะแก่งข้างล่างได้
หลวงปู่ชอบไปยืนพิจารณาอยู่เพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก จนท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ไหลเสียงดังซู่ ๆ ก็กลับหยุดกึกลงทันที
พระเณรที่ร่วมคณะต่างตกตะลึงกันหมด คิดกันว่า เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่ชอบมาก็มากแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นประจักษ์กับตาตนเองก็คราวนี้
หลวงปู่ชอบก้าวข้ามลำธารไปก่อน เห็นศิษย์แต่ละคนยังไม่แสดงอาการคลายจากความงวยงง ท่านก็เร่งให้ตามไป
ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองขณะที่ก้าวข้ามลำธารนั้น ยังอยู่ในอาการกึ่งกลัวกึ่งกล้าอยู่ กึ่งกลัวคือกลัวว่าภาพที่มองเห็นน้ำหยุดไหลและแห้งผากนั้นจะเป็นภาพลวงตา กึ่งกล้าคือคิดว่า เราเองก็ศิษย์มีอาจารย์ เรามากับท่านอาจารย์ พระคุณท่านคงคุ้มกันเราได้แน่นอน
มัวนึกกันอยู่ว่า น้ำที่หยุดไหลกึกนี้ หากเรากำลังเดินข้ามอยู่ จู่ ๆ มันพรวดพุ่งมาประดุจเทออกจากกระบอก ร่างกายเราจะไม่แหลกไปหรือ กว่าพระจะได้สติกัน ก็ข้ามลำธารกันมาได้หมดทุกองค์ และเมื่อเดินพ้นมาเพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำก็ไหลบ่าเชี่ยวกรากต่อไปดังเดิม
ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองอดใจไว้ไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีโอกาส จึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ชอบว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทำอย่างไรน้ำจึงหยุดได้ หลวงปู่ตอบด้วยอารมณ์ดีว่า "มีบทบริกรรมนะซิ" เมื่อถามหลวงปู่ว่า "บทบริกรรมมีว่าอย่างไรขอรับ" ท่านก็ตอบว่า "ภาวนาไปก็รู้เอง"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมากราบนมัสการหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในวาระที่หลวงปู่มาเยือนวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 |
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บันทึกโดยหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวขวัญกันมากในบรรดาศิษย์ของท่าน เรื่องมีอยู่ว่า...
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร |
ในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พำนักอยู่ในถ้ำพระบนภูวัว ครั้งนั้น ท่านได้ประสบอุบัติเหตุที่นับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่ง ได้มีญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามพากันขึ้นไปนมัสการ หลวงปู่จึงได้ขอให้ญาติโยมพาชมภูมิประเทศบนภูวัวและเพื่อจะแสวงหาสมุนไพรบางชนิดด้วย
เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก
ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้
พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลัน ท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เสียงเหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลานหิน เอาศีรษะลงมาก่อน
พระลูกศิษย์ที่เดินรั้งท้ายตกใจตัวสั่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ จะเข้าไปช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองก็ประคองตัวแทบไม่อยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนตัวสั่น มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง
ร่างของหลวงปู่ลื่นไถลไปได้ประมาณหกวา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับหมุนตัวในลักษณะเอาศีรษะขึ้นแล้วลื่นไถลลงต่อไปอีก
ข้างหน้าของท่านมีช่องหินใหญ่ น้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้น กลายเป็นหลุมน้ำวน หากท่านไถลไปถึงช่องนั้น แล้วไหลพรวดลงในช่องหิน คงถึงแก่มรณภาพโดยมิต้องสงสัย
เหลือเชื่อ.. คงเป็นด้วยอำนาจบุญ ก่อนร่างท่านจะถึงช่องหิน หลวงปู่กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้
แล้วท่านก็เดินขึ้นไปตามทางเดิมที่ร่างท่านร่วงหล่นลงมาด้วยท่าทางปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระลูกศิษย์ร้องขอให้ท่านอ้อมไปขึ้นทางอื่น แต่ท่านไม่ยอมและบอกว่า เมื่อมันตกมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้
หลวงปู่ฝั้นเดินขึ้นไปตามทางเดิมด้วยความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่า ร่างกายของหลวงปู่มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นแม้แต่เล็กน้อย ถึงจะมีรอยถลอกบนข้อศอกก็เพียงรอยเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล
ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินจงกรมตามปรกติ ตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปถวายการปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่านว่า ขณะที่ศีรษะท่านกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ตอบว่า"อาการก็เหมือนสำลีตกลงบนหินนั่นแหละ"
เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก
ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้
พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลัน ท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เสียงเหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลานหิน เอาศีรษะลงมาก่อน
พระลูกศิษย์ที่เดินรั้งท้ายตกใจตัวสั่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ จะเข้าไปช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองก็ประคองตัวแทบไม่อยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนตัวสั่น มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง
ร่างของหลวงปู่ลื่นไถลไปได้ประมาณหกวา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับหมุนตัวในลักษณะเอาศีรษะขึ้นแล้วลื่นไถลลงต่อไปอีก
ข้างหน้าของท่านมีช่องหินใหญ่ น้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้น กลายเป็นหลุมน้ำวน หากท่านไถลไปถึงช่องนั้น แล้วไหลพรวดลงในช่องหิน คงถึงแก่มรณภาพโดยมิต้องสงสัย
เหลือเชื่อ.. คงเป็นด้วยอำนาจบุญ ก่อนร่างท่านจะถึงช่องหิน หลวงปู่กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้
แล้วท่านก็เดินขึ้นไปตามทางเดิมที่ร่างท่านร่วงหล่นลงมาด้วยท่าทางปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระลูกศิษย์ร้องขอให้ท่านอ้อมไปขึ้นทางอื่น แต่ท่านไม่ยอมและบอกว่า เมื่อมันตกมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้
หลวงปู่ฝั้นเดินขึ้นไปตามทางเดิมด้วยความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่า ร่างกายของหลวงปู่มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นแม้แต่เล็กน้อย ถึงจะมีรอยถลอกบนข้อศอกก็เพียงรอยเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล
ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินจงกรมตามปรกติ ตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปถวายการปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่านว่า ขณะที่ศีรษะท่านกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ตอบว่า"อาการก็เหมือนสำลีตกลงบนหินนั่นแหละ"
พระภิกษุรูปนั้น ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีความเห็นว่า ในขณะที่ท่านกำลังลื่นล้ม ก่อนศีรษะฟาดกับลานหินนั้น ท่านสามารถกำหนดจิตได้ในชั่วพริบตา ทำให้ตัวท่านเบาได้ดังสำลีโดยฉับพลัน
เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า จิตของผู้ที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้จะหลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ
เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า จิตของผู้ที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้จะหลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ